Posts

Showing posts with the label การลงทุน

แนวคิดการคำนวณช่วงมูลค่าแท้จริง ที่ไม่ได้เอาไปใส่ในโปรเจคจบ

โดยส่วนตัวผมมักไม่ให้น้ำหนักกับการคำนวณค่า Fair Value หรือมูลค่าที่แท้จริงแบบจุดเดียวเท่าไร มันมีปัจจัยมากมายที่อาจทำให้ค่านั้นผิดพลาดได้และโดยทั่วไปปัจจัยที่ทำให้ผลลัพธ์การคำนวณผิดพลาดนั้นไม่ได้เป็นปัจจัยที่สามารถคำนวณได้ แต่ในโปรเจคจบผมกลับเลือกที่จะใช้การคำนวณมูลค่าแท้จริงแบบจุดเดียว ย้อนกลับไปช่วงก่อนที่ผมจะนำ Dividend Discount Model มาปรับปรุงสูตรสำหรับกองอสังหาและกอง REIT เพื่อใช้เป็นโมเดลหลักในการคำนวณมูลค่าแท้จริงเป็นจุดๆเดียว ผมเคยมีแนวคิดจะนำวิธีการคำนวณมูลค่าแท้จริงแบบช่วงที่ผมมักใช้กับหุ้นมาใช้กับโปรเจคซึ่งเป็นกองอสังหา ซึ่งตามหลักการแล้วหากสามารถคาดการณ์อัตราเติบโตของเงินปันผลและช่วงผลตอบแทนที่ต้องการได้อย่างสมเหตุสมผล ผลลัพธ์การคำนวณจะกลายเป็นช่วงราคาที่เหมาะสมแก่การลงทุน ณ ระดับผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนยอมรับได้บนอัตราการเติบโตที่น่าจะเป็นและอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจถึงความเสี่ยงของผลประกอบการ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่การ implement การคำนวณลงในระบบ แต่เป็นการพิสูจน์ทางวิชาการให้มันมีน้ำหนักมากกว่า หากสังเกตดีๆ ปัญหาของไอเดียนี้คือ มันพึ่งพามุมมองต่ออนาคตของกองทุนเป็นอย

โปรเจคจบกับโอกาสเติบโตสู่ Fintech Startup

เท่าที่จำได้ ผมไม่เคยพูดถึงเรื่องโปรเจคจบซึ่งผมกำลังทำอยู่ ณ เวลาที่เขียนบทความนี้เลย งานแรกที่ผสมผสานความรู้ของทั้งฝั่งการลงทุนและฝั่งไอทีเข้าด้วยกัน ในสเกลที่มีความเป็นไปได้ที่มันจะกลายเป็น "บางสิ่ง" ที่ใช้งานได้จริงๆ โปรเจคจบของผมคือเว็บที่ย่อยและนำเสนอข้อมูลจากการวิเคราะห์เชิงคุณภาพของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกอง REIT ซึ่งเอาจริงๆมันคือการเอาข้อมูลมาให้คอมสกรีนขั้นต้นตามเงื่อนไขที่ผมอยากได้ซะมากกว่า ต้นตอของมันก็มาจากความขี้เกียจสกรีนหากองทุนดีๆด้วยตัวเองนี่นะ มันน่าเบื่อจะตาย ผมมองโปรเจคตัวเองอยู่ในสเกลเล็กๆมาโดยตลอด อาจจะเนื่องจากมันเกิดขึ้นจากความอยากได้อยากมีของผมเอง เลยไม่ค่อยสนใจถึงศักยภาพของมันในเชิงพาณิชย์จริงๆเท่าไร จนกระทั่งวันนึงที่มีคนจากบริษัท G-Able มาดูโปรเจคจบของนักศึกษาสาย BI ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น สำหรับผมในวันนั้นนอกจากความตื่นเต้นนิดหน่อยที่จะได้โชว์ของให้คนนอกแล้ว การนำเสนอครั้งนั้นผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายนัก แต่บรรดากรรมการซึ่งมาจาก G-Able ตอนนั้นแลดูจะสนใจงานที่ผมทำ หลังจากที่ทางบริษัทเลือก 5 กลุ่มไปคุยต่อที่บริษัท ซึ่งผมเป็นหนึ่

เหตุผลที่ผลักดันให้เราเริ่มชีวิตการลงทุน

สำหรับเด็กปี4 อย่างผมซึ่งเป็นส่วนน้อยที่มีความรู้ด้านการลงทุนสูงกว่าเพื่อนร่วมรุ่นอย่างมาก มักจะโดนขอให้ช่วยแนะนำการลงทุนแก่เพื่อนๆที่ต่างก็เริ่มสนใจศาสตร์ด้านนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ผมว่าคงเป็นเรื่องปกติของยุคสมัยนี้ละมั้ง พอพวกเราใกล้เรียนจบต้องไปทำงานรับเงินเดือนหรือบางคนอาจมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เราจะเริ่มหาลู่ทางทำเงินให้งอกเงย ซึ่งเป็น mindset ที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อนมาก ผมคิดว่าเหตุผลักดันให้แต่ละคนเริ่มสนใจด้านการลงทุนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนลงทุนเพราะเริ่มวางแผนเกษียณ บางคนอยากรวย บางคนอาจแค่อยากเห็นเงินงอกงามดีกว่าการเอาไปฝากธนาคาร ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด นี่เป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนชุดความคิดที่เรามีต่อการลงทุน เรามักไม่ค่อยทุ่มเทกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าเรามองว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ปัจจัยที่ critical กับตัวเอง เราจึงเห็นว่านักลงทุนมักจะมีกลุ่มที่ทุ่มเทศึกษามันอย่างมากกว่าจะกดซื้อหุ้นซักตัวกับกลุ่มที่ไม่รู้อะไรแล้วซื้อตามโพยผีบอกที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน "ลงทุนเพื่ออะไร" เป็นคำถามที่ผมถามเพื่อนทุกคนที่มาขอคำแนะนำเรื่องการลงทุนจากผม ผมเชื่อว่าหากเขาตอบคำถามนี้ได้ แสดงว่าเขามีแรงผลักดันที่ไม

Stocklog 281216 ข้อคิดจากการ IPO ของหุ้น AU

หลังจากเกิดปรากฎการณ์บวก 200% จากราคา IPO ใน 2 วันของหุ้น AU หรือ After You ซึ่งแม้หลังจากสองวันแรกราคาจะไหลลงเรื่อยๆก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหุ้นตัวนี้ "กระแสแรง" จริงๆ จากราคา IPO ที่ 4.50 บาท ณ พาร์ 0.10 ต่ำที่สุดเท่าที่ตลาดยอมให้ได้ ราคาพุ่งถึงจุดสูงสุดที่ 15.20 บาท ณ PE สูงกว่า 100 เท่า ซึ่งส่วนตัวผมเองนั้นรู้สึกว่าหุ้นตัวนี้แพงพอสมควรตั้งแต่ราคา IPO ซึ่งตอนนั้น PE ก็ประมาณ 30 เท่าแล้ว การขึ้นมาชน Ceiling ในวันแรกและยังพุ่งต่อในวันที่สอง นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจและบ่งบอกถึงความคาดหวังแรงกล้าต่อบริษัทของนักลงทุน ตั้งแต่ผมเริ่มลงทุนมา ต้องยอมรับเลยว่าหุ้นตัวนี้มีสตอรี่ค่อนข้างมาก รวมถึงกระแสดราม่าในหมู่นักลงทุนซึ่งถกเถียงกันเอาเป็นเอาตายเรื่องอนาคตของกิจการคาเฟ่ขนมหวานของบริษัท ซึ่งช่วงนั้นเด้งกันเต็มฟีดบน Facebook ของผม อ่านไปก็เฮฮาบันเทิงกันไป แม้คนเริ่มประเด็นแทบจะด่ากันเองในบางโพสก็ตาม นักวิเคราะห์และนักลงทุนมักให้ความเป็นห่วงเรื่องสินค้าที่ลอกเลียนแบบกันได้ไม่ยากนัก รวมถึงเรื่องกระแสของผู้บริโภคซึ่งบางคนให้ความเห็นว่าในระยะยาวกระแสที่อุ้มชูบริษัทจะหมดไ

Stocklog 011216 ส่องหุ้น MAJOR อีกครั้ง

นับเป็นเรื่องไม่ธรรมดาเท่าไรที่พ่อผมจะส่งไลน์มาบอกสัญญาณทางเทคนิคของหุ้นที่ผมมองๆอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง MAJOR ผมกับพ่อนับว่าเป็นนักลงทุนที่ใช้กลยุทธ์ต่างกันแบบคนละขั้วเลยทีเดียว พ่อผมเป็นสาย Technical ซื้อขายตามสัญญาณทางเทคนิค ในขณะที่ผมเป็น VI ซื้อตามพื้นฐานบริษัทและถือไปเรื่อยๆจนกว่าพื้นฐานบริษัทจะแย่ลงถาวร MAJOR เป็นหุ้นตัวแรกๆที่ผมได้ลองวิเคราะห์ตอนอายุ 19 (ถ้าผมจำไม่ผิด) ก่อนที่ผมจะอายุถึงเกณฑ์เปิดพอร์ทตัวเองได้ ผมเห็นภาพบริษัทที่กำลังจะก้าวออกไปนอกประเทศ มีฐานลูกค้าแข็งแกร่ง มีแผนขยายธุรกิจที่ดูแล้วเป็นไปได้ สรุปสั้นๆคือแทบทุกอย่างที่ MAJOR เป็นในวันนี้ เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าบริษัทจะทำได้เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว วันนั้นผมแนะนำพ่อผมให้ซื้อ ณ ราคาเวลานั้นประมาณ 19 บาท ซึ่งแน่นอนครับ ตอนนั้นผมพูดให้ใครฟังไม่มีคนเชื่อผม ณ วันที่เขียนบทความนี้ MAJOR ซื้อขายที่ราคาหุ้นละประมาณ 32 บาท มีแผนขยายธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม CLMV ต่อ และมีแผนขยายสาขาในไทย ตามความเห็นผม โรงหนังแทบจะเป็นสิ่งที่โตไปตามการขยายตัวของเมืองและห้างเลยครับ ตราบใดที่ Central ยังมีแผนขยายสาขา ผมก็เชื่อว่าโรงหนังส่ว

จริยธรรม 101 (จากมุมนักลงทุน)

เมื่อเร็วๆนี้หลายท่านคงได้ข่าวการจัดการโบรคเกอร์โดยผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นอัยการและเป็นผู้เสียหายจากการโดนพนักงานโบรกเกอร์ตัดเงินจากบัตรเครดิตเป็นค่าประกันโดยไม่ยินยอม แต่เธอสู้เพื่อให้เป็นกรณีตัวอย่างไม่ให้คนอื่นๆโดนลูกไม้เดียวกันนี้อีก ซึ่งผมถึงกับต้องแชร์ลงเพจเพื่อเป็นกรณีศึกษาเลยทีเดียว เรื่องนี้ได้เน้นย้ำถึงแนวคิดการเลือกหุ้นลงทุนของผมเองข้อนึง นั่นคือ "อย่าลงทุนในบริษัทที่บกพร่องในเรื่องจริยธรรม" ในกรณีของโบรคเกอร์ประกันภัยที่เป็นข่าวนั้น นั่นเป็นเพียงการกระทำที่บกพร่องด้านจรรยาบรรณและจริยธรรมจาก "พนักงาน" ภายในบริษัท ซึ่งก็สร้างความเสียหายลามไปแทบทุกบริษัทในวงการ ลองคิดดูว่าถ้าคนที่บกพร่องด้านจริยธรรมกลับเป็นระดับผู้บริหารซึ่งเป็นผู้กำหนดทิศทางของบริษัท ภาพลักษณ์ของบริษัทจะป่นปี้เป็นตราบาปได้ขนาดไหน หลายๆบริษัทที่มีประวัติต่อเนื่องเรื่องการบกพร่องด้านจริยธรรม ไม่ว่าจะเรื่องการผูกขาด ปั่นหุ้นในตลาด หรือเลวร้ายสุดคือเล่นวิธีการตลาดสกปรกเพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาดแม้กระทั่งการโกหกลูกค้าตัวเอง บริษัทเหล่านี้ไม่ว่าผลประกอบการดียังไง โบรคเกอร์เชียร์ขนาดไหน ผมจะไม่ซื

ความผันผวนของหุ้นกับพฤติกรรมนักลงทุน

Image
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คนไทยทุกคนรับรู้ถึงการสูญเสียครั้งสำคัญของชาติ นั่นคือการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่9 ช่วงเวลาดังกล่าวตลาดหุ้นมีความผันผวนรุนแรงมาก ซึ่งหากใครเปิดตลาดดูคงได้เห็นปรากฎการณ์หุ้นแดงทั้งตลาด ภาพจาก SetSmart อาจเรียกได้ว่าความผันผวนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นบททดสอบนักลงทุนโดยแท้ โดยเฉพาะนักลงทุนสาย VI ที่มีความตั้งใจในการลงทุนระยะยาว โดยส่วนตัวแล้ว ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมงานยุ่งมากจนไม่ได้เปิดตลาดหลายวันติดต่อกัน จากกราฟที่ออกมา ผมเชื่อว่าในตลาดเวลานั้นมีทั้ง "คนกลัว" และ "คนกล้า" โดยคนที่กลัวจนรีบขายหุ้นอาจเสียหายไปมากมาย ในขณะที่คนกล้าซื้ออาจกำไรมหาศาลในช่วงเวลาผันผวนที่ผ่านมา คำถามคือ ความผันผวนที่ผ่านมาส่งผลต่อความสามารถในการประกอบกิจการของบริษัทจดทะเบียนหรือไม่ ผมเชื่อว่ามีผลบ้าง แต่ไม่ใช่ระยะยาว และไม่ใช่ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมแน่ จริงอยู่ที่บางอุตสาหกรรมอย่าง media อาจมีผลกระทบไปบ้างในช่วงสั้นๆนี้ หรืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอาจมีผลบ้างจากบรรยากาศที่เปลี่ยนไปแบบกระทันหัน แต่ผมก็เชื่อว่านี่ไม่ใช่ผลกระ

ยุคสมัยแห่ง Robot

การเกิดของ Startup กลุ่ม FinTech จำนวนมาก กลายเป็นอัตราเร่งในการพัฒนา Artificial Intelligence หรือ AI และเร่งอัตราการผลักดัน Robot จากกลุ่มสถาบันการเงินสู่กลุ่มที่ Mass กว่าอย่างนักลงทุนทั่วไปอย่างเราๆ จากการที่ผมศึกษาในสายเทคโนโลยีสารสนเทศ ผมจึงรู้ทั้งจากเพื่อนและพี่ๆว่าสถาบันการเงินนั้นพัฒนา Robot สำหรับใช้ช่วยเทรดพอร์ทกองทุนมานานหลายปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนช่วง Startup บูมเสียอีก เพียงแต่ระบบในช่วงนั้นมันซับซ้อนวุ่นวายและต้องใช้ทรัพยากรบุคคลจำนวนมากในการคอยดูแลมัน อีกทั้งคนใช้ยังต้องเชี่ยวชาญ จึงเป็นระบบที่ยังไม่เหมาะกับนักลงทุนทั่วไปเท่าไรนัก อย่างไรก็ตาม อัตราการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยนี้เร็วมาก เราเห็น FinTech Startup มากมายนำความรู้ด้าน AI มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ใช้งานได้ง่าย เข้าถึงคนทั่วไปได้ง่ายขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยอัตราการพัฒนาระดับนี้ ผมเชื่อว่า Robot จะเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนแทบทุกแนวแน่นอน แต่เป็นรูปแบบที่ใช้ Robot "ช่วย" การลงทุนไม่ใช่แทนที่การตัดสินใจของนนักลงทุน ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากมานั่งเฝ้าจอเปิดต

ช่องว่างของคอนโดและอพาร์ทเมนต์

ใครที่อยู่ในเขตตัวเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงเทพ ปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยวอื่นๆ คงจะได้เห็นคอนโดมากมายผุดขึ้นมาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งผมเริ่มรู้สึกว่า ช่องว่างที่เป็นจุดแตกต่างระหว่างคอนโดกับอพาร์ทเมนต์มันเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ในอดีตการตัดสินใจเลือกว่าจะผ่อนซื้อคอนโดหรือเช่าอพาร์ทเมนต์นั้น ผมว่ามันต่างกันมากอย่างมีนัยยะเลยทีเดียว ทั้งเรื่องการตกแต่ง ขนาดห้อง ระบบพื้นฐานต่างๆ ซึ่งคอนโดล้วนแล้วเหนือกว่าทั้งสิ้น การตัดสินใจเลือกในกรณีที่ต้องอยู่ในพื้นที่นั้นหลายปี แทบจะตัดสินกันที่ Budget ในกระเป๋ากับความต้องการส่วนตัวล้วนๆ สิ่งหนึ่งที่ผมหวั่นใจในเวลานี้คือ การที่คอนโดระดับล่างเริ่มทำห้องเหมือนอพาร์ทเมนต์ และสร้างในจำนวนมากๆใน 1 โครงการ บางที่ขึ้นอาคารใหม่เป็นสิบอาคารซึ่งแทบทั้งโครงการเป็นห้องราคาถูกจับตลาดระดับล่างทั้งสิ้น ขนาดห้องบางโครงการเล็กกว่าอพาร์ทเมนต์บางที่ด้วยซ้ำ และด้วยปริมาณห้องที่สร้างมาจำนวนมากๆ ทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่ามันกำลังจะ Over supply (หรือมัน Over ไปแล้วก็ไม่อาจทราบได้) ตอนนี้เลยเป็นช่วงเวลาที่อพาร์ทเมนต์พยายามอัพเกรดตัวเองให้ดีขึ้นเพื่ออัพราคาค่าเช่า ในขณ

จริยธรรม(ของบริษัท)กับการเลือกหุ้นลงทุน

หากใครที่อ่านหนังสือการลงทุนแนว VI บ่อยๆ จะสังเกตได้ว่า หัวข้อหนึ่งที่เราต้องพิจารณาในขั้นตอนเลือกหุ้นและประเมินมูลค่าคือ จริยธรรมของผู้บริหารและบริษัท จริยธรรมเป็นเรื่องที่วัดและดูยากกว่ามูลค่าแท้จริงมากๆครับ เพราะมันเป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ ประเมินออกมาเป็นตัวเลขไม่ได้ ไม่มีในงบการเงิน แต่เป็นสิ่งสำคัญที่หากเราพลาดก็อาจนำมาซึ่งหายนะได้เลย การซื้อหุ้นก็เหมือนการที่เราซื้อสิทธิ์เข้าไปเป็นหุ้นส่วนของบริษัทนั้นๆ(ในสัดส่วนตามจำนวนหุ้นที่เราถือ) เปรียบเหมือนเราเอาเงินเข้าไปลงทุนในกิจการนั้นๆ มันคงไม่ดีแน่ถ้าบริษัทที่เราเห็นคุณค่าและตัดสินใจร่วมลงทุน กลับคิดคดโกงผู้ถือหุ้น โดยปกติผมแบ่งจริยธรรมออกเป็น 3 หัวข้อคือ จริยธรรมต่อผู้ถือหุ้น จริยธรรมต่อลูกค้า จริยธรรมต่อพนักงานและลูกจ้าง ผู้ถือหุ้น บริษัทที่ดีเมื่อมีกำไรและไม่มีแผนการลงทุนต่อควรมีการปันผลเป็นเงินสดคืนผู้ถือหุ้น หรือหากบริษัทมีแผนลงทุนเพิ่มเติม ก็ต้องเป็นการลงทุนที่บริษัทมี knowledge มีความพร้อม และมีอนาคต ในหลายๆครั้ง บริษัทอาจเก็บเงินไว้เพื่อเตรียม Take over บริษัทอื่น ซึ่งหากจริง เราก็ต้องดูด้วยนะครับว่าไป Take

ค่าเสียโอกาสกับการขาดทุน

เชื่อไหมครับ บางครั้งคนเราก็หน้ามืดกดเทรดหุ้นไปอย่างวู่วามและไร้เหตุผลที่ดีมารองรับ เพียงเพราะการคิดย้ำซ้ำไปมาในเรื่องของ "ค่าเสียโอกาส" สำหรับคนที่ไม่คุ้นนะครับ ค่าเสียโอกาสไม่ได้หมายถึงค่าใช้จ่ายที่เราเสียเงินหรือทรัพย์สินไปจริงๆ แต่หมายถึงโอกาสใดๆที่ผ่านเข้ามาแล้วเราไม่ได้คว้ามันเอาไว้ โดยปกติผมคิดว่ามันเป็น "ความรู้สึกเสียดาย" ซะมากกว่า จึงไม่แปลกนักที่ความรู้สึกเสียดายที่เรียกเป็นทางการว่าค่าเสียโอกาสนี้ จะส่งผลค่อนข้างมากต่อการตัดสินใจซื้อขายหุ้นซึ่งส่วนมากมักจะพาเราติดดอยมากกว่าทำกำไร จริงอยู่ที่นักลงทุนทุกคนล้วนกลัวการขาดทุน แต่ในหลายๆคน กลับกลัวการเสียโอกาสมากกว่ากลัวขาดทุน บางครั้งพวกเขาเชื่อว่านี่เป็นโอกาสซึ่งถ้าไม่คว้าไว้ก็อาจจะไม่ได้เห็นโอกาสแบบนี้อีกนาน โดยส่วนมากความเข้าใจแบบนี้มักจะเกิดจากการหลงชอบหุ้นตัวนั้นๆ โดนเชียร์จากโบรคเกอร์ โดนเป่าหูไม่ว่าจะจากบทวิเคราะห์หรือคนรอบตัว บางครั้งอาจมาจากโพยผีบอกตามห้องไลน์หรือในอินเทอร์เน็ตด้วยซ้ำ ส่งผลให้พวกเขามักจะขาดทุนจากการเทรดเพราะโดนความอยากและความเสียดายบังตา ถ้าคุณคิดว่าหุ้น A จะโตต่อ วิธีหนึ่

การลืมตระหนักถึง "ความเสี่ยง"

Image
ผมได้คุยกับคุณพ่อเมื่อคืนเกี่ยวกับการลงทุน หากใครอ่านบทความแรกๆของผม(ซึ่งเขียนไม่ค่อยดีเท่าไรนัก) ผมจะมีบอกอยู่ว่าสไตล์การลงทุนของผมกับคุณพ่อนั้น ต่างกันคนละขั้วเลยก็ว่าได้ พ่อผม ณ เวลาที่เขียนบทความนี้ นิยมเล่น TFEX และเป็นสาย Technical จ๋าเลยทีเดียว ในขณะที่ผมอ่านรายงาน วิเคราะห์งบและพื้นฐานบริษัทหาหุ้นหรือกองทุนดีๆในราคาที่ถูกกว่าพื้นฐานหรือที่ผมเห็นว่าสมเหตุสมผล ความแตกต่างนี้มักทำให้สองคนพ่อลูกปะทะคารมเรื่องการลงทุนเป็นประจำ จนกระทั่งเมื่อคืน พ่อผมเข้ามาเปิดประเด็นว่า "จะหาเงินซักล้านนึงมาเทรด TFEX" ผมถึงกับอึ้งไปเลย ที่อึ้งเพราะหลายปีก่อนหน้านั้นพ่อผมเพิ่งเอาเงินสองแสนที่ยืมญาติมาไปทำอะไรไม่รู้ในตลาดแต่รู้ว่าเงินสองแสนนั้นหายวับไปไหนก็ไม่รู้ คราวนี้คุณท่านมาพร้อมความมั่นใจที่สูงขึ้น และจำนวนเงินที่มากขึ้น แน่นอน ด้วยสไตล์การลงทุนของผม ผมไม่มองตลาด TFEX อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าคงไม่เทรด TFEX เองแน่ๆ ถ้าจะเทรดก็คงผ่านกองทุนรวม คืนนั้นเลยได้ปะทะคารมกันอีกรอบซึ่งทำให้ผมสัมผัสถึงบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเหตุให้ต้องมาเขียนบทความนี้ ตามภาพแล้ว TFEX นั้นแทบจะเป็

อีกด้านหนึ่งของดอกเบี้ยเงินกู้

เรื่องหนี้สินแม้จะเป็นอะไรที่คนเราพยายามหลีกเลี่ยง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันใกล้ตัวเราเหลือเกิน ทั้งซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด ส่วนใหญ่ก็คงกู้เอาทั้งนั้น หรือเอาใกล้ตัวอีกหน่อยก็บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อต่างๆ สิ่งที่ตามมาคงไม่พ้น "ดอกเบี้ย" นั่นเอง เป็นที่รู้กันว่าดอกเบี้ยเงินกู้โดยเฉพาะพวกสินเชื่อส่วนบุคคลนั้น หนี้โหดขนาดไหน ขนาดเอาบัตรเครดิตกดเงินสดยังโดนดอกเบี้ยสูงลิ่วเลย กับคนที่วินัยการเงินเป๊ะๆวางแผนดีๆคงไม่เจอปัญหาอะไร แต่กับคนที่ไม่มีวินัย ใช้จ่ายเกินตัว อันนี้หายนะแน่ๆ สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นมักเป็นการบ่นลงโซเชียลว่าเจอดอกเบี้ยมหาโหด หรือบางคนด่าแบงค์หน้าเลือด รังแกคนจนกันเลยทีเดียว ผมว่าสิ่งที่ควรถามไม่ใช่ "เก็บโหดไปมั้ย" แต่เป็น "ทำไมถึงต้องเก็บขนาดนี้" มากกว่า นักลงทุนทุกท่านทั้งมือใหม่ มือเก่า มือโปร มือสมัครเล่น ย่อมรู้ว่าผลตอบแทนนั้นแปรผันตามความเสี่ยง อะไรก็ตามที่ผลตอบแทนมากๆย่อมมีความเสี่ยงสูง ซึ่งผลตอบแทนอาจมาในรูปเงินปันผล ราคาหลักทรัพย์ และดอกเบี้ย เมื่อดอกเบี้ยถูกนับเป็นรูปแบบหนึ่งของผลตอบแทน ดอกเบี้ยเงินกู้ต่างๆก็เช่นกัน แต่

[การลงทุน] กับดักของ Passive Income

หายไปนานต้องขออภัย เนื่องจากมรสุมโปรเจค + ไฟนอลมหาลัยดันมาอยู่ช่วงเดียวกัน หลายท่านคงจินตนาการออกว่าโหดร้ายเพียงใด แม้จะยังอยู่ในช่วงไฟนอล แต่ก็อยากเขียนอะ ฉะนั้น ช่างหัวมันไปก่อน เขียนบทความไม่กินเวลาขนาดนั้นหรอก ฮ่าๆๆๆ เชื่อว่าคนวัยทำงานทุกคนต้องเคยได้ยินคำว่า Passive Income หลายคนอาจจะผ่านมันมาแล้ว สำเร็จแล้วหรือล้มเหลวมาแล้วก็ตาม แต่เชื่อว่าทุกคนรู้ ขนาดนักศึกษายังรู้เลยครับ แม้แต่มิจฉาชีพก็ชอบอ้างคำนี้ ฉะนั้นทุกคนคงเคยได้ยินผ่านหูมาบ้างแหละ Passive Income มักมาคู่กับวลีที่ว่า "ให้เงินทำงาน" โดยทั่วไปคนมักเข้าใจว่าแค่เอาเงินไปกองไว้ซักที่(ลงทุน)แล้วก็ปล่อยลืมมันไป นั่งกระดิกเท้ารอรับเงินปันผลหรือผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆโดยไม่ต้องไปลงแรงลงสมองอะไร ซึ่งขอบอกเลยว่าความคิดนี้ ผิดอย่างแรง!!! สาเหตุที่คนเราเข้าใจผิดได้ขนาดนั้น ผมคิดว่าเป็นเรื่องคำนิยามของคำว่า "การทำงาน" มากกว่า ส่วนใหญ่คนเรามักเข้าใจว่าการทำงานคือการเข้าออฟฟิศตรงเวลา นั่งทำงานวันละ 8 ชั่วโมงหรือมากกว่า มีกรอบเวลาการทำงานและตำแหน่งหน้าที่ แต่โดยส่วนตัวผมแล้วการทำงานโดยทั่วไปกับการทำงานที่ให้ Passiv

[การลงทุน] รู้ทันแชร์ลูกโซ่ด้วยความรู้ด้านการลงทุน

ช่วงนี้คงไม่มีแชร์ลูกโซ่ไหนดังกระหึ่มทั่วอินเทอร์เน็ตในไทยแรงยิ่งกว่า U-Fun อีกแล้ว กับยอดความเสียหายคิดเป็นตัวเงินนับพันล้าน ด้วยวิธีการหลอกลวงรูปแบบเดิมๆ ไหนๆก็เป็นข่าวดังแล้ว เอามาเป็นตัวอย่างดีกว่า แชร์ลูกโซ่ไม่ใช่ของใหม่ มีมานานมากแล้ว ในอดีตแชร์ที่ดังๆคงหนีไม่พ้นแชร์แม่ชม้อย แชร์น้ำมันอันโด่งดังในอดีต ซึ่งข้อมูลทั้งหลายสามารถอ่านได้ที่ th.wikipedia.org/wiki/คดีแชร์ชม้อย ที่น่าแปลกใจกว่าคือ วิธีการโกงเงินจากประชาชนนั้นหากพิจารณาดีๆจะพบว่า มาในรูปแบบเดียวกันทั้งสิ้น ใครที่ตามอ่านบทความด้านการลงทุนของผม ผมมักจะเน้นที่ระบบความคิดและความเชื่อเสมอ ผมมักจะเน้นเรื่อง Performance ของบริษัทหรือหลักทรัพย์ที่เข้าไปลงทุน ซึ่งต้องสมเหตุสมผลตามความเป็นจริง ทีนี้เรามาดูกันว่าอะไรทำให้ U-Fun ดูไม่สมเหตุสมผล 1. ผลตอบแทนต่อเดือน สูงมาก! ผมเองก็จำไม่ได้ว่าทางนั้นโฆษณาไว้เดือนละกี่เปอร์เซ็น คาดว่าประมาณ 6% ต่อเดือนถ้าผมจำไม่ผิด ยังไงก็ตาม ลองคิดดูครับว่าบริษัทต้องทำกำไรเดือนนึงมากขนาดไหนเพื่อให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 6% ต่อเดือนหรือกว่า 72% ต่อปี อย่าลืมนะครับว่าหุ้นนั้นคิดผลตอบแทน ต่อปี ไม่ใ

[การลงทุน] สังเกตภาวะเศรษฐกิจง่ายๆจากหน้าทีวี

บางครั้งสิ่งที่บอกใบ้เรื่องภาวะเศรษฐกิจ กลับเป็นอะไรที่ใกล้ตัวมากเกินคาด โยนทฤษฎีเศรษฐศาสตร์และตัวเลขทั้งหมดทั้งมวลทิ้งไปก่อนอ่าน เพราะบทความนี้จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นเลย เชื่อว่าหลายๆคนมักดูทีวีกัน ทั้งดูข่าว ดูละคร หรือดูอะไรก็ตามแต่ที่ต้องรับสัญญาณโทรทัศน์เข้ามา เชื่อมั้ยครับ ธุรกิจบางกลุ่มแค่ดูทีวีคุณก็รู้ได้ว่ามันซบเซาหรือกำลังรุ่ง นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมสังเกตเห็นมาซักพักใหญ่ๆแล้วครับ ไม่มีใครบ้าที่ไหนอัดฉีดงบโฆษณาและการตลาดลงไปในสินค้าที่ขายดีจนผลิตไม่ทัน มาเริ่มจากเรื่องการตลาดง่ายๆกันก่อนครับ ปกติแล้วถ้าคุณจะอัดงบทำการตลาดลงไปในสินค้าหรือบริการใดๆ แน่นอน มันต้องเป็นสินค้าที่ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า หรือมีการคาดการณ์ว่ามันมี Potential ที่จะเติบโตต่อไปได้คุ้มกับงบที่เสียไป ทีนี้ลองมองกลับกัน ถ้าสินค้านั้นมันขายดีอยู่แล้ว ดีจนผลิตไม่ทัน และเป็นสินค้าที่ประมาณการณ์กันว่า Potential มันแทบจะชนเพดานแล้ว คุณจะอัดงบลงไปมั้ยครับ ด้วยหลักดังกล่าว เราเอามาสังเกตรูปแบบของโฆษณาและรายการในโทรทัศน์นะครับ โดยเฉพาะช่องที่เกี่ยวเนื่องกับการเงินการลงทุนอย่าง Money Channal จะเห

[การลงทุน] เทคนิคหาของถูกในเวลาที่ของแพงทั้งตลาด

ช่วงที่ผมเขียนบทความนี้ ตลาดหุ้นยังคง side way อยู่ประมาณ 1540 ได้ ซึ่งดูๆไปแล้วก็นับว่าราคาหุ้นตัวใหญ่ๆขึ้นมาสูงจนดูจะแพงเกินพื้นฐานไปมาก เรียกได้ว่าแพงแทบจะทั้งตลาดเลยทีเดียว อาจเป็นโชคหรือเป็นกรรม หรือทั้งสองอย่าง ที่ทำให้ผมเองดันเข้าตลาดมาในช่วงที่ "แพงทั้งตลาด" เหมือนเอาเงินมานอนเล่นในพอร์ทเฉยๆโดยไม่รู้จะซื้ออะไรเลยทีเดียว แต่แล้วเมื่อไม่นานมานี้ผมได้ค้นพบเทคนิคเล็กๆที่ช่วยให้ผมพอจะหา "ของดี" ในช่วงเวลาอย่างนี้ได้ แม้ของที่ได้มาจะไม่ถูก แต่ก็ไม่แพงจนเกินรับได้ เทียบกับหุ้นยอดนิยมช่วงนี้แล้ว ถือว่าถูกกว่าในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เขาว่ากันว่า โอกาสมักหาได้ง่ายในจุดที่ไม่ค่อยมีคนสนใจหรือมองข้ามมันไป เทคนิคของผมนั้นไม่มีอะไรมากครับ แค่มองในสิ่งที่คนทั่วไปเขาไม่มอง  ในเวลาอย่างงี้สิ่งที่คนทั่วไปไม่ค่อยมองช่วงนี้ผมคิดว่าน่าจะเป็นพวก อสังหาริมทรัพย์(กองทุนอสังหาที่เทรดในตลาด) กับหุ้นนอกกระแสตัวไม่ใหญ่หลายๆตัวในตลาด ผมค้นพบว่า หุ้นหรือกองทุนอสังหาหลายตัวในตลาด การซื้อขายเรียกได้ว่าทั้งวันอยู่แค่หลักแสน ราคาอยู่เท่าเดิมมาเป็นเดือนๆ(วิ่งขึ้นวิ่งลงน้อยมาก กราฟราคาแทบ

[Mindset] ยอมรับและศึกษาความพ่ายแพ้ในวันนี้ เพื่อชัยชนะในวันข้างหน้า

อาจจะเป็นนิสัยยอดนิยมของนักลงทุนไทยที่เห็นได้ชัดเจนมากตามเว็บบอร์ดต่างๆ หลายคนขาดทุนย่อยยับจากการเดินเกมที่ผิดพลาด แต่กลับปล่อยวาง ไม่ยอมรับ และไม่เรียนรู้มัน ผมว่านี่คือความผิดพลาดนะ ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของคนเราคือการไม่ยอมรับความผิดพลาด บางทีอาจไม่ใช่แค่บรรดานักลงทุน คนทั่วๆไปที่หาเช้ากินค่ำจำนวนมากก็เป็นเช่นเดียวกัน เป็นที่ทราบกันดีว่ากระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ ในหลายๆกรณีเราเรียนรู้จากข้อผิดพลาด เพื่อที่เราจะหลีกเลี่ยงมันในอนาคต แต่กระบวนการเรียนรู้มันจะเริ่มต้นไม่ได้เลย ถ้าเจ้าตัวดันไม่ยอมรับความผิดพลาดที่ก่อขึ้นแล้วมโนหลอกตัวเองไปวันๆ คุณต้องยอมรับก่อนนะ ว่าคุณแพ้ในครั้งนี้ แล้วมาพิจารณาว่าที่คุณแพ้เพราะอะไร ขาดตกบกพร่องอะไร ตัดสินใจพลาดตรงไหน มันจึงจะเกิดการพัฒนาในระบบความคิด ลองคิดดูสิ ถ้าคุณเทรดหุ้นไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบแล้วขาดทุนพินาศย่อยยับ ถ้าคุณไม่ยอมรับความผิดพลาดนั้นจะเกิดอะไรขึ้น คุณจะมโนไปวันๆว่า "กูถือหุ้นยาว" "กูเป็นVI" (แต่ก่อนหน้านั้นนี่ Technical จัดเต็ม) แล้วมันมีประโยชน์อะไร หุ้นตัวที่คุณพลาด ก็ยังดองค้างแดงเถือกอยู่อย่างนั้

[การลงทุน] ทำไมต้องเป็น "ทองคำ"

Image
บ้านใครชอบเสพข่าวเรื่องสงครามจะเกิด / อเมริกาจะก่อสงคราม / จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เร็วๆนี้ บลาๆ (บ้านผมก็เป็น พูดตั้งมาตั้งแต่ 7 ปีที่แล้วได้) คงจะมีความคิดเรื่อง ซื้อทองคำเก็บไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยง ซึ่งแม้เรื่องสงครามนี่ออกจะมโนเวอร์เกินจริงเหนือทุกตรรกะเหตุผลจนผมเองก็ไม่เข้าใจว่าเชื่อกันได้ยังไง แต่ในเรื่องที่แม่งโคตร illogical เหล่านั้น ก็ยังมีความจริงอยู่ -- รูปนี้ดึงมาจาก www.tnews.co.th  -- หลายคนคงสงสัย "ทำไมต้องเป็นทองคำ" เหตุผลจริงๆมีข้อเดียวเลยคือ ทองคำเป็นแร่ธาตุที่ใช้ประกันค่าเงินตรา ทั้งนี้ยกเว้น US Dollar โดยปกติแล้ว การที่รัฐบาลในโลก(ยกเว้นอเมริกา) จะพิมพ์เงินออกมา จำเป็นต้องมีทองคำสำรองไว้ในคลังเพื่อค้ำประกันค่าเงินที่พิมพ์ออกมา ยิ่งพิมพ์ออกมามาก ก็จำเป็นต้องมีทองคำในคลังมาก กล่าวได้อีกอย่างคือ ทองคำคือมูลค่าที่แท้จริงของเงินตรา หากมองอีกด้าน ทองคำเป็นวัตถุที่มีค่าในตัวของมันเอง เห็นได้จากวิกฤติเงินเฟ้อของบางประเทศ เมื่อเงินด้อยค่าลงมากๆจากการพิมพ์เงินมหาศาลจนแทบจะด้อยค่า ประชาชนในประเทศนั้นๆจะเริ่มทิ้งเงินตราของประเทศตัวเองแล