Posts

Showing posts with the label mindset

เหตุผลที่ผลักดันให้เราเริ่มชีวิตการลงทุน

สำหรับเด็กปี4 อย่างผมซึ่งเป็นส่วนน้อยที่มีความรู้ด้านการลงทุนสูงกว่าเพื่อนร่วมรุ่นอย่างมาก มักจะโดนขอให้ช่วยแนะนำการลงทุนแก่เพื่อนๆที่ต่างก็เริ่มสนใจศาสตร์ด้านนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ผมว่าคงเป็นเรื่องปกติของยุคสมัยนี้ละมั้ง พอพวกเราใกล้เรียนจบต้องไปทำงานรับเงินเดือนหรือบางคนอาจมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เราจะเริ่มหาลู่ทางทำเงินให้งอกเงย ซึ่งเป็น mindset ที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อนมาก ผมคิดว่าเหตุผลักดันให้แต่ละคนเริ่มสนใจด้านการลงทุนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนลงทุนเพราะเริ่มวางแผนเกษียณ บางคนอยากรวย บางคนอาจแค่อยากเห็นเงินงอกงามดีกว่าการเอาไปฝากธนาคาร ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด นี่เป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนชุดความคิดที่เรามีต่อการลงทุน เรามักไม่ค่อยทุ่มเทกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าเรามองว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ปัจจัยที่ critical กับตัวเอง เราจึงเห็นว่านักลงทุนมักจะมีกลุ่มที่ทุ่มเทศึกษามันอย่างมากกว่าจะกดซื้อหุ้นซักตัวกับกลุ่มที่ไม่รู้อะไรแล้วซื้อตามโพยผีบอกที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน "ลงทุนเพื่ออะไร" เป็นคำถามที่ผมถามเพื่อนทุกคนที่มาขอคำแนะนำเรื่องการลงทุนจากผม ผมเชื่อว่าหากเขาตอบคำถามนี้ได้ แสดงว่าเขามีแรงผลักดันที่ไม

Criteria ในการซื้อหุ้น

Image
ผมเชื่อว่าทุกคนที่เข้ามาในตลาดหุ้น เข้ามาด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป แต่ละคนมักจะมีนักลงทุนหรือนักวิเคราะห์ซักคนเป็นไอดอล แต่เชื่อมั้ยครับ ไม่ว่าเราจะมีใครเป็นไอดอลก็ตาม เราจะมี Criteria ในการตัดสินใจซื้อหุ้นที่ไม่เหมือนกับคนที่เรามองว่าเป็นไอดอลแน่นอน Business photograph designed by Pressfoto - Freepik.com อย่างที่ผมกล่าวไว้ตอนแรก ทุกคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นย่อมมีเหตุผลที่เข้ามาอยู่แล้ว บางคนอาจต้องการเข้ามาเก็งกำไร บางคนอาจต้องการสร้างกระแสเงินสด บางคนอยากได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าฝากธนาคาร คนเรามีเหตุผลสารพัดแบบในการเอาเงินมาลงทุน เหตุผลเหล่านั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แต่ละคนลงทุนโดยมีเงื่อนไขการตัดสินใจที่ไม่เหมือนกัน และโดยส่วนใหญ่ไม่เหมือนแม้กระทั่งกับคนที่เป็นไอดอลของตัวเองด้วย ผมเองเข้ามาในตลาดโดยเชื่อมั่นในการลงทุนแนวเน้นคุณค่า แน่นอนครับว่าผมมี Warren Buffett เป็นไอดอลแน่นอนแต่ผมสามารถบอกได้เลยว่าจุดประสงค์ในการลงทุนของผมกับ Warren Buffett ไม่เหมือนกัน ในขณะที่การลงทุนของ Warren Buffett จะเน้นที่มูลค่า โดยเชื่อว่าการนำกำไรกลับไปลงทุนใหม่ (Reinvest) เพื่อเพิ่ม

เมื่อการตัดสินใจผิดเพี้ยนไปเพราะ Information Overload

Image
ความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งในบรรดาเทคโนโลยีที่มนุษย์พัฒนาขึ้นคือ มันทำให้เราเปลี่ยนโลกธุรกิจที่เดิมเราแทบไม่รู้อะไรเลยให้กลายเป็นโลกที่เรารู้มันทุกสิ่งอย่างจนมากเกินไป ในเวลาแค่ประมาณ 20 ปี ยุคสมัยนี้มีคำกล่าวที่ว่า ข้อมูลเปรียบเสมือนบ่อน้ำมัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของข้อมูลที่เดิมพวกเราคิดว่ามันไม่มีค่า มันสร้างความได้เปรียบมากมายในโลกธุรกิจสำหรับคนที่เห็นค่ามันและไม่ตกอยู่ในด้านมืดของมัน หากการรู้ข้อมูลมากมายสร้างโอกาสและมุมมองให้กับธุรกิจเป็นด้านสว่าง อีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นด้านมืดของมันคงเป็นการรับข้อมูลมากๆและจัดการไม่ได้จนมันส่งผลต่อการตัดสินใจทางธุรกิจ ตัวอย่างของ Information Overload แบบใกล้ตัวผม ก็เป็นเรื่องธุรกิจอพาร์ทเมนต์ที่ครอบครัวผมทำนี่แหละครับ หากจำปี 54 ที่น้ำท่วมได้ หลายๆคนคงจำได้ว่ามีเหตุการณ์ย้ายฐานการผลิตหลายโรงงานเป็นจำนวนมาก หลายๆที่ถึงกับเลิกกิจการเลยก็มี ซึ่งกิจการทางบ้านของผม ได้รับผลกระทบจาก Demand ที่ลดลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในความคิดผม นี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหาครับ ครอบครัวผมค่อนข้างเฉื่อยมากในการตัดสินใจทางธุรกิจ คนที่มีอำนาจซึ่งเป็นคุณอา บอ

ทรัพยากรที่มีค่าที่สุด

ผมชอบอ่านประวัติของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ นอกจากเรื่องที่ว่ามันจุดประกายและเป็นแรงบันดาลใจแล้ว มันยังสอนผมให้รู้ถึงคุณค่าของทรัพยากรตัวนึงที่จำเป็นมากๆในการพัฒนาตนเอง(รวมถึงพัฒนาอย่างอื่น) นั่นคือ "เวลา" ผมมักจะมองว่าเวลาเป็นทรัพยากรอย่างหนึ่งที่เราต้อง "จ่าย" ออกไปเป็นต้นทุนในการพัฒนาและเป็นสิ่งที่เราต้องจ่ายออกไปตลอดทั้งวันทั้งคืน ผมจึงมองเวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่ามาก มีจำกัด และไม่สามารถควบคุมได้ และมันจำเป็นกับทุกๆอย่าง ทั้งการพัฒนา การทำงาน การใช้ชีวิต ผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับการจัดสรรเวลามาก และไม่ชอบการทำงานที่ฉุกละหุกไปซะทุกอย่าง (โอเค เรื่องฉุกละหุกมันก็มีบ้างเวลาทำงาน แต่ไม่ใช่ฉุกเฉินแม่งทุกเรื่อง อันนั้นเกินไป) ผมมักจะวางแผนเพื่อใช้เวลาที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด สำหรับผมแล้ว ยิ่งผมรู้รายละเอียดของปัญหาที่ผมต้องแก้เร็วเท่าไร ยิ่งมีเวลาให้ผมศึกษาและแก้ไขมันได้มากเท่านั้น บุคคลที่ประสบความสำเร็จมีทั้งคนที่มีเวลามาก มีเวลาน้อย หลายคนเสียดายเวลาที่เสียไปในแต่ละช่วงชีวิต ยิ่งเราจัดสรรเวลาให้กับเรื่องเล็กเรื่องน้อยมากเท่าไร เรายิ่งมีเวลาจัดการเรื่

ค่าเสียโอกาสกับการขาดทุน

เชื่อไหมครับ บางครั้งคนเราก็หน้ามืดกดเทรดหุ้นไปอย่างวู่วามและไร้เหตุผลที่ดีมารองรับ เพียงเพราะการคิดย้ำซ้ำไปมาในเรื่องของ "ค่าเสียโอกาส" สำหรับคนที่ไม่คุ้นนะครับ ค่าเสียโอกาสไม่ได้หมายถึงค่าใช้จ่ายที่เราเสียเงินหรือทรัพย์สินไปจริงๆ แต่หมายถึงโอกาสใดๆที่ผ่านเข้ามาแล้วเราไม่ได้คว้ามันเอาไว้ โดยปกติผมคิดว่ามันเป็น "ความรู้สึกเสียดาย" ซะมากกว่า จึงไม่แปลกนักที่ความรู้สึกเสียดายที่เรียกเป็นทางการว่าค่าเสียโอกาสนี้ จะส่งผลค่อนข้างมากต่อการตัดสินใจซื้อขายหุ้นซึ่งส่วนมากมักจะพาเราติดดอยมากกว่าทำกำไร จริงอยู่ที่นักลงทุนทุกคนล้วนกลัวการขาดทุน แต่ในหลายๆคน กลับกลัวการเสียโอกาสมากกว่ากลัวขาดทุน บางครั้งพวกเขาเชื่อว่านี่เป็นโอกาสซึ่งถ้าไม่คว้าไว้ก็อาจจะไม่ได้เห็นโอกาสแบบนี้อีกนาน โดยส่วนมากความเข้าใจแบบนี้มักจะเกิดจากการหลงชอบหุ้นตัวนั้นๆ โดนเชียร์จากโบรคเกอร์ โดนเป่าหูไม่ว่าจะจากบทวิเคราะห์หรือคนรอบตัว บางครั้งอาจมาจากโพยผีบอกตามห้องไลน์หรือในอินเทอร์เน็ตด้วยซ้ำ ส่งผลให้พวกเขามักจะขาดทุนจากการเทรดเพราะโดนความอยากและความเสียดายบังตา ถ้าคุณคิดว่าหุ้น A จะโตต่อ วิธีหนึ่

การลืมตระหนักถึง "ความเสี่ยง"

Image
ผมได้คุยกับคุณพ่อเมื่อคืนเกี่ยวกับการลงทุน หากใครอ่านบทความแรกๆของผม(ซึ่งเขียนไม่ค่อยดีเท่าไรนัก) ผมจะมีบอกอยู่ว่าสไตล์การลงทุนของผมกับคุณพ่อนั้น ต่างกันคนละขั้วเลยก็ว่าได้ พ่อผม ณ เวลาที่เขียนบทความนี้ นิยมเล่น TFEX และเป็นสาย Technical จ๋าเลยทีเดียว ในขณะที่ผมอ่านรายงาน วิเคราะห์งบและพื้นฐานบริษัทหาหุ้นหรือกองทุนดีๆในราคาที่ถูกกว่าพื้นฐานหรือที่ผมเห็นว่าสมเหตุสมผล ความแตกต่างนี้มักทำให้สองคนพ่อลูกปะทะคารมเรื่องการลงทุนเป็นประจำ จนกระทั่งเมื่อคืน พ่อผมเข้ามาเปิดประเด็นว่า "จะหาเงินซักล้านนึงมาเทรด TFEX" ผมถึงกับอึ้งไปเลย ที่อึ้งเพราะหลายปีก่อนหน้านั้นพ่อผมเพิ่งเอาเงินสองแสนที่ยืมญาติมาไปทำอะไรไม่รู้ในตลาดแต่รู้ว่าเงินสองแสนนั้นหายวับไปไหนก็ไม่รู้ คราวนี้คุณท่านมาพร้อมความมั่นใจที่สูงขึ้น และจำนวนเงินที่มากขึ้น แน่นอน ด้วยสไตล์การลงทุนของผม ผมไม่มองตลาด TFEX อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าคงไม่เทรด TFEX เองแน่ๆ ถ้าจะเทรดก็คงผ่านกองทุนรวม คืนนั้นเลยได้ปะทะคารมกันอีกรอบซึ่งทำให้ผมสัมผัสถึงบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเหตุให้ต้องมาเขียนบทความนี้ ตามภาพแล้ว TFEX นั้นแทบจะเป็

สิ่งที่ควรทำ ในช่วงที่แทบทุกอย่างในตลาดแพงไปซะหมด

แม้จะเป็นช่วงที่ตลาดย่อตัวลงมา แต่หลายๆคนคงรู้สึกแบบเดียวกับผม มองไปทางไหนในตลาดทั้งหุ้นที่ดีและไม่ดี แทบทุกตัวล้วนแพงจนไม่น่าซื้อ ยิ่งหุ้นในกระแสยิ่งแล้วใหญ่ ปั่นกันจนดอยสูงมองไม่เห็นยอดกันเลยทีเดียว ผมว่าช่วงนี้นักลงทุนอย่างเราๆไปทำอย่างอื่นนอกจากนั่งเฝ้าตลาดหุ้นกันดีกว่า ไหนๆของมันก็แพงจนบางตัวดูจะเวอร์เกินจริงไปหน่อย เราก็แก้ด้วยการ "รอ" สิครับ ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมของมหาวิทยาลัย ผมเองก็ปิดเทอม ประกอบกับมีแลกเปลี่ยนต้องไปญี่ปุ่นช่วงต้นกรกฎาคม เลยไม่ได้ทำงานพิเศษอื่นใด เลยต้องวางเป้าหมายที่จะทำในช่วงปิดเทอมนี้ซึ่งผมว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนครับ 4 เป้าหมายที่ผมตั้งใจว่าจะทำช่วงปิดเทอม ณ เวลาที่หุ้นแพงโคตร หนังสือ สำหรับผมเอง มักจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับหุ้นและการตลาด ส่วนใหญ่ซื้อมาจากงานหนังสือด้วยความวู่วาม แต่เอาจริงๆสำหรับท่านที่ไม่ชอบเรื่องวิชาการมากๆ อาจจะเป็นวรรณกรรมหรือนิยายก็แล้วแต่ความชอบครับ เกม ด้วยความที่ผมเองโตมาพร้อมกับเกม อีกทั้งเกมยังเป็นแรงบันดาลใจแรกที่ทำให้ผมเลือกเรียนสายไอที ผมจึงเป็นพวกที่มีความสุขกับการได้อยู่เฉยๆนั่งเล่นเกม

[Mindset] ยอมรับและศึกษาความพ่ายแพ้ในวันนี้ เพื่อชัยชนะในวันข้างหน้า

อาจจะเป็นนิสัยยอดนิยมของนักลงทุนไทยที่เห็นได้ชัดเจนมากตามเว็บบอร์ดต่างๆ หลายคนขาดทุนย่อยยับจากการเดินเกมที่ผิดพลาด แต่กลับปล่อยวาง ไม่ยอมรับ และไม่เรียนรู้มัน ผมว่านี่คือความผิดพลาดนะ ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของคนเราคือการไม่ยอมรับความผิดพลาด บางทีอาจไม่ใช่แค่บรรดานักลงทุน คนทั่วๆไปที่หาเช้ากินค่ำจำนวนมากก็เป็นเช่นเดียวกัน เป็นที่ทราบกันดีว่ากระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ ในหลายๆกรณีเราเรียนรู้จากข้อผิดพลาด เพื่อที่เราจะหลีกเลี่ยงมันในอนาคต แต่กระบวนการเรียนรู้มันจะเริ่มต้นไม่ได้เลย ถ้าเจ้าตัวดันไม่ยอมรับความผิดพลาดที่ก่อขึ้นแล้วมโนหลอกตัวเองไปวันๆ คุณต้องยอมรับก่อนนะ ว่าคุณแพ้ในครั้งนี้ แล้วมาพิจารณาว่าที่คุณแพ้เพราะอะไร ขาดตกบกพร่องอะไร ตัดสินใจพลาดตรงไหน มันจึงจะเกิดการพัฒนาในระบบความคิด ลองคิดดูสิ ถ้าคุณเทรดหุ้นไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบแล้วขาดทุนพินาศย่อยยับ ถ้าคุณไม่ยอมรับความผิดพลาดนั้นจะเกิดอะไรขึ้น คุณจะมโนไปวันๆว่า "กูถือหุ้นยาว" "กูเป็นVI" (แต่ก่อนหน้านั้นนี่ Technical จัดเต็ม) แล้วมันมีประโยชน์อะไร หุ้นตัวที่คุณพลาด ก็ยังดองค้างแดงเถือกอยู่อย่างนั้

[Mindset] คิดสั้น คิดยาว

คิดสั้น คิดยาว คิดอย่างไรถึงจะดี เป็นที่น่าสนใจว่าวาทะกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการลงทุนมักจะมีคำเกี่ยวกับการคิดสั้นๆและคิดยาวๆเสมอ เห็นกันเกลื่อนไปหมด คิดสั้น หมายถึงการมองไปในอนาคตข้างหน้าเพียงแค่ระยะสั้นๆ มักถูกใช้กับการฆ่าตัวตายและวิธีคิดในการทำงาน สาเหตุที่ใช้กับการฆ่าตัวตายเพราะคงไม่มีคนสติดีที่ไหนลูกขึ้นมาเอามีดกรีดข้อมือหรือหยิบเชือกมาผูกคอตายใต้ต้นไม้หรอกครับ การที่คนจะฆ่าตัวตาย มันต้องมีเหตุ เหตุนั้นมักจะเป็นปัญหาต่างๆที่เขามองว่า "ไม่มีทางออก" แม้ว่าปัญหานั้นเมื่อคนนอกพิจารณา อาจจะพบว่ามีทางออกมากมายให้เลือกเดินเลยทีเดียว ส่วนสาเหตุที่ใช้กับวิธีคิดการทำงาน ให้นึกถึงพวกพนักงานเช้าชามเย็นชาม สมัยนี้โลกมันเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นมาก แต่หลายๆคนกลับคิดเพียงสั้นๆ ทำงานให้มันจบๆไปโดยที่ไม่ได้พัฒนาหรือเรียนรู้อะไรจากมันเลย จุดเด่นของคนที่ชอบคิดสั้นๆ มักจะมองเห็นแค่ตัวเอง กับปัญหามากมายสุมรอบตัวอยู่ตรงหน้า หลายครั้งมองไม่เห็นทางออกของปัญหาแถมยังเอาปัญหาพวกนั้นหมกไว้ซะเอง และมักทำอะไรแย่ๆลงไปโดยไม่นึกถึงคนรอบข้าง เช่น ฆ่าตัวตายหนีปัญหาโดยทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลัง(