Posts

Showing posts with the label อสังหา

แนวคิดการคำนวณช่วงมูลค่าแท้จริง ที่ไม่ได้เอาไปใส่ในโปรเจคจบ

โดยส่วนตัวผมมักไม่ให้น้ำหนักกับการคำนวณค่า Fair Value หรือมูลค่าที่แท้จริงแบบจุดเดียวเท่าไร มันมีปัจจัยมากมายที่อาจทำให้ค่านั้นผิดพลาดได้และโดยทั่วไปปัจจัยที่ทำให้ผลลัพธ์การคำนวณผิดพลาดนั้นไม่ได้เป็นปัจจัยที่สามารถคำนวณได้ แต่ในโปรเจคจบผมกลับเลือกที่จะใช้การคำนวณมูลค่าแท้จริงแบบจุดเดียว ย้อนกลับไปช่วงก่อนที่ผมจะนำ Dividend Discount Model มาปรับปรุงสูตรสำหรับกองอสังหาและกอง REIT เพื่อใช้เป็นโมเดลหลักในการคำนวณมูลค่าแท้จริงเป็นจุดๆเดียว ผมเคยมีแนวคิดจะนำวิธีการคำนวณมูลค่าแท้จริงแบบช่วงที่ผมมักใช้กับหุ้นมาใช้กับโปรเจคซึ่งเป็นกองอสังหา ซึ่งตามหลักการแล้วหากสามารถคาดการณ์อัตราเติบโตของเงินปันผลและช่วงผลตอบแทนที่ต้องการได้อย่างสมเหตุสมผล ผลลัพธ์การคำนวณจะกลายเป็นช่วงราคาที่เหมาะสมแก่การลงทุน ณ ระดับผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนยอมรับได้บนอัตราการเติบโตที่น่าจะเป็นและอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจถึงความเสี่ยงของผลประกอบการ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่การ implement การคำนวณลงในระบบ แต่เป็นการพิสูจน์ทางวิชาการให้มันมีน้ำหนักมากกว่า หากสังเกตดีๆ ปัญหาของไอเดียนี้คือ มันพึ่งพามุมมองต่ออนาคตของกองทุนเป็นอย

เมื่อการตัดสินใจผิดเพี้ยนไปเพราะ Information Overload

Image
ความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งในบรรดาเทคโนโลยีที่มนุษย์พัฒนาขึ้นคือ มันทำให้เราเปลี่ยนโลกธุรกิจที่เดิมเราแทบไม่รู้อะไรเลยให้กลายเป็นโลกที่เรารู้มันทุกสิ่งอย่างจนมากเกินไป ในเวลาแค่ประมาณ 20 ปี ยุคสมัยนี้มีคำกล่าวที่ว่า ข้อมูลเปรียบเสมือนบ่อน้ำมัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของข้อมูลที่เดิมพวกเราคิดว่ามันไม่มีค่า มันสร้างความได้เปรียบมากมายในโลกธุรกิจสำหรับคนที่เห็นค่ามันและไม่ตกอยู่ในด้านมืดของมัน หากการรู้ข้อมูลมากมายสร้างโอกาสและมุมมองให้กับธุรกิจเป็นด้านสว่าง อีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นด้านมืดของมันคงเป็นการรับข้อมูลมากๆและจัดการไม่ได้จนมันส่งผลต่อการตัดสินใจทางธุรกิจ ตัวอย่างของ Information Overload แบบใกล้ตัวผม ก็เป็นเรื่องธุรกิจอพาร์ทเมนต์ที่ครอบครัวผมทำนี่แหละครับ หากจำปี 54 ที่น้ำท่วมได้ หลายๆคนคงจำได้ว่ามีเหตุการณ์ย้ายฐานการผลิตหลายโรงงานเป็นจำนวนมาก หลายๆที่ถึงกับเลิกกิจการเลยก็มี ซึ่งกิจการทางบ้านของผม ได้รับผลกระทบจาก Demand ที่ลดลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในความคิดผม นี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหาครับ ครอบครัวผมค่อนข้างเฉื่อยมากในการตัดสินใจทางธุรกิจ คนที่มีอำนาจซึ่งเป็นคุณอา บอ

ช่องว่างของคอนโดและอพาร์ทเมนต์

ใครที่อยู่ในเขตตัวเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงเทพ ปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยวอื่นๆ คงจะได้เห็นคอนโดมากมายผุดขึ้นมาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งผมเริ่มรู้สึกว่า ช่องว่างที่เป็นจุดแตกต่างระหว่างคอนโดกับอพาร์ทเมนต์มันเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ในอดีตการตัดสินใจเลือกว่าจะผ่อนซื้อคอนโดหรือเช่าอพาร์ทเมนต์นั้น ผมว่ามันต่างกันมากอย่างมีนัยยะเลยทีเดียว ทั้งเรื่องการตกแต่ง ขนาดห้อง ระบบพื้นฐานต่างๆ ซึ่งคอนโดล้วนแล้วเหนือกว่าทั้งสิ้น การตัดสินใจเลือกในกรณีที่ต้องอยู่ในพื้นที่นั้นหลายปี แทบจะตัดสินกันที่ Budget ในกระเป๋ากับความต้องการส่วนตัวล้วนๆ สิ่งหนึ่งที่ผมหวั่นใจในเวลานี้คือ การที่คอนโดระดับล่างเริ่มทำห้องเหมือนอพาร์ทเมนต์ และสร้างในจำนวนมากๆใน 1 โครงการ บางที่ขึ้นอาคารใหม่เป็นสิบอาคารซึ่งแทบทั้งโครงการเป็นห้องราคาถูกจับตลาดระดับล่างทั้งสิ้น ขนาดห้องบางโครงการเล็กกว่าอพาร์ทเมนต์บางที่ด้วยซ้ำ และด้วยปริมาณห้องที่สร้างมาจำนวนมากๆ ทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่ามันกำลังจะ Over supply (หรือมัน Over ไปแล้วก็ไม่อาจทราบได้) ตอนนี้เลยเป็นช่วงเวลาที่อพาร์ทเมนต์พยายามอัพเกรดตัวเองให้ดีขึ้นเพื่ออัพราคาค่าเช่า ในขณ

ค่าเสียโอกาสกับการขาดทุน

เชื่อไหมครับ บางครั้งคนเราก็หน้ามืดกดเทรดหุ้นไปอย่างวู่วามและไร้เหตุผลที่ดีมารองรับ เพียงเพราะการคิดย้ำซ้ำไปมาในเรื่องของ "ค่าเสียโอกาส" สำหรับคนที่ไม่คุ้นนะครับ ค่าเสียโอกาสไม่ได้หมายถึงค่าใช้จ่ายที่เราเสียเงินหรือทรัพย์สินไปจริงๆ แต่หมายถึงโอกาสใดๆที่ผ่านเข้ามาแล้วเราไม่ได้คว้ามันเอาไว้ โดยปกติผมคิดว่ามันเป็น "ความรู้สึกเสียดาย" ซะมากกว่า จึงไม่แปลกนักที่ความรู้สึกเสียดายที่เรียกเป็นทางการว่าค่าเสียโอกาสนี้ จะส่งผลค่อนข้างมากต่อการตัดสินใจซื้อขายหุ้นซึ่งส่วนมากมักจะพาเราติดดอยมากกว่าทำกำไร จริงอยู่ที่นักลงทุนทุกคนล้วนกลัวการขาดทุน แต่ในหลายๆคน กลับกลัวการเสียโอกาสมากกว่ากลัวขาดทุน บางครั้งพวกเขาเชื่อว่านี่เป็นโอกาสซึ่งถ้าไม่คว้าไว้ก็อาจจะไม่ได้เห็นโอกาสแบบนี้อีกนาน โดยส่วนมากความเข้าใจแบบนี้มักจะเกิดจากการหลงชอบหุ้นตัวนั้นๆ โดนเชียร์จากโบรคเกอร์ โดนเป่าหูไม่ว่าจะจากบทวิเคราะห์หรือคนรอบตัว บางครั้งอาจมาจากโพยผีบอกตามห้องไลน์หรือในอินเทอร์เน็ตด้วยซ้ำ ส่งผลให้พวกเขามักจะขาดทุนจากการเทรดเพราะโดนความอยากและความเสียดายบังตา ถ้าคุณคิดว่าหุ้น A จะโตต่อ วิธีหนึ่

การลืมตระหนักถึง "ความเสี่ยง"

Image
ผมได้คุยกับคุณพ่อเมื่อคืนเกี่ยวกับการลงทุน หากใครอ่านบทความแรกๆของผม(ซึ่งเขียนไม่ค่อยดีเท่าไรนัก) ผมจะมีบอกอยู่ว่าสไตล์การลงทุนของผมกับคุณพ่อนั้น ต่างกันคนละขั้วเลยก็ว่าได้ พ่อผม ณ เวลาที่เขียนบทความนี้ นิยมเล่น TFEX และเป็นสาย Technical จ๋าเลยทีเดียว ในขณะที่ผมอ่านรายงาน วิเคราะห์งบและพื้นฐานบริษัทหาหุ้นหรือกองทุนดีๆในราคาที่ถูกกว่าพื้นฐานหรือที่ผมเห็นว่าสมเหตุสมผล ความแตกต่างนี้มักทำให้สองคนพ่อลูกปะทะคารมเรื่องการลงทุนเป็นประจำ จนกระทั่งเมื่อคืน พ่อผมเข้ามาเปิดประเด็นว่า "จะหาเงินซักล้านนึงมาเทรด TFEX" ผมถึงกับอึ้งไปเลย ที่อึ้งเพราะหลายปีก่อนหน้านั้นพ่อผมเพิ่งเอาเงินสองแสนที่ยืมญาติมาไปทำอะไรไม่รู้ในตลาดแต่รู้ว่าเงินสองแสนนั้นหายวับไปไหนก็ไม่รู้ คราวนี้คุณท่านมาพร้อมความมั่นใจที่สูงขึ้น และจำนวนเงินที่มากขึ้น แน่นอน ด้วยสไตล์การลงทุนของผม ผมไม่มองตลาด TFEX อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าคงไม่เทรด TFEX เองแน่ๆ ถ้าจะเทรดก็คงผ่านกองทุนรวม คืนนั้นเลยได้ปะทะคารมกันอีกรอบซึ่งทำให้ผมสัมผัสถึงบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเหตุให้ต้องมาเขียนบทความนี้ ตามภาพแล้ว TFEX นั้นแทบจะเป็

อีกด้านหนึ่งของดอกเบี้ยเงินกู้

เรื่องหนี้สินแม้จะเป็นอะไรที่คนเราพยายามหลีกเลี่ยง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันใกล้ตัวเราเหลือเกิน ทั้งซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด ส่วนใหญ่ก็คงกู้เอาทั้งนั้น หรือเอาใกล้ตัวอีกหน่อยก็บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อต่างๆ สิ่งที่ตามมาคงไม่พ้น "ดอกเบี้ย" นั่นเอง เป็นที่รู้กันว่าดอกเบี้ยเงินกู้โดยเฉพาะพวกสินเชื่อส่วนบุคคลนั้น หนี้โหดขนาดไหน ขนาดเอาบัตรเครดิตกดเงินสดยังโดนดอกเบี้ยสูงลิ่วเลย กับคนที่วินัยการเงินเป๊ะๆวางแผนดีๆคงไม่เจอปัญหาอะไร แต่กับคนที่ไม่มีวินัย ใช้จ่ายเกินตัว อันนี้หายนะแน่ๆ สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นมักเป็นการบ่นลงโซเชียลว่าเจอดอกเบี้ยมหาโหด หรือบางคนด่าแบงค์หน้าเลือด รังแกคนจนกันเลยทีเดียว ผมว่าสิ่งที่ควรถามไม่ใช่ "เก็บโหดไปมั้ย" แต่เป็น "ทำไมถึงต้องเก็บขนาดนี้" มากกว่า นักลงทุนทุกท่านทั้งมือใหม่ มือเก่า มือโปร มือสมัครเล่น ย่อมรู้ว่าผลตอบแทนนั้นแปรผันตามความเสี่ยง อะไรก็ตามที่ผลตอบแทนมากๆย่อมมีความเสี่ยงสูง ซึ่งผลตอบแทนอาจมาในรูปเงินปันผล ราคาหลักทรัพย์ และดอกเบี้ย เมื่อดอกเบี้ยถูกนับเป็นรูปแบบหนึ่งของผลตอบแทน ดอกเบี้ยเงินกู้ต่างๆก็เช่นกัน แต่

[การลงทุน] สังเกตภาวะเศรษฐกิจง่ายๆจากหน้าทีวี

บางครั้งสิ่งที่บอกใบ้เรื่องภาวะเศรษฐกิจ กลับเป็นอะไรที่ใกล้ตัวมากเกินคาด โยนทฤษฎีเศรษฐศาสตร์และตัวเลขทั้งหมดทั้งมวลทิ้งไปก่อนอ่าน เพราะบทความนี้จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นเลย เชื่อว่าหลายๆคนมักดูทีวีกัน ทั้งดูข่าว ดูละคร หรือดูอะไรก็ตามแต่ที่ต้องรับสัญญาณโทรทัศน์เข้ามา เชื่อมั้ยครับ ธุรกิจบางกลุ่มแค่ดูทีวีคุณก็รู้ได้ว่ามันซบเซาหรือกำลังรุ่ง นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมสังเกตเห็นมาซักพักใหญ่ๆแล้วครับ ไม่มีใครบ้าที่ไหนอัดฉีดงบโฆษณาและการตลาดลงไปในสินค้าที่ขายดีจนผลิตไม่ทัน มาเริ่มจากเรื่องการตลาดง่ายๆกันก่อนครับ ปกติแล้วถ้าคุณจะอัดงบทำการตลาดลงไปในสินค้าหรือบริการใดๆ แน่นอน มันต้องเป็นสินค้าที่ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า หรือมีการคาดการณ์ว่ามันมี Potential ที่จะเติบโตต่อไปได้คุ้มกับงบที่เสียไป ทีนี้ลองมองกลับกัน ถ้าสินค้านั้นมันขายดีอยู่แล้ว ดีจนผลิตไม่ทัน และเป็นสินค้าที่ประมาณการณ์กันว่า Potential มันแทบจะชนเพดานแล้ว คุณจะอัดงบลงไปมั้ยครับ ด้วยหลักดังกล่าว เราเอามาสังเกตรูปแบบของโฆษณาและรายการในโทรทัศน์นะครับ โดยเฉพาะช่องที่เกี่ยวเนื่องกับการเงินการลงทุนอย่าง Money Channal จะเห

[การลงทุน] เทคนิคหาของถูกในเวลาที่ของแพงทั้งตลาด

ช่วงที่ผมเขียนบทความนี้ ตลาดหุ้นยังคง side way อยู่ประมาณ 1540 ได้ ซึ่งดูๆไปแล้วก็นับว่าราคาหุ้นตัวใหญ่ๆขึ้นมาสูงจนดูจะแพงเกินพื้นฐานไปมาก เรียกได้ว่าแพงแทบจะทั้งตลาดเลยทีเดียว อาจเป็นโชคหรือเป็นกรรม หรือทั้งสองอย่าง ที่ทำให้ผมเองดันเข้าตลาดมาในช่วงที่ "แพงทั้งตลาด" เหมือนเอาเงินมานอนเล่นในพอร์ทเฉยๆโดยไม่รู้จะซื้ออะไรเลยทีเดียว แต่แล้วเมื่อไม่นานมานี้ผมได้ค้นพบเทคนิคเล็กๆที่ช่วยให้ผมพอจะหา "ของดี" ในช่วงเวลาอย่างนี้ได้ แม้ของที่ได้มาจะไม่ถูก แต่ก็ไม่แพงจนเกินรับได้ เทียบกับหุ้นยอดนิยมช่วงนี้แล้ว ถือว่าถูกกว่าในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เขาว่ากันว่า โอกาสมักหาได้ง่ายในจุดที่ไม่ค่อยมีคนสนใจหรือมองข้ามมันไป เทคนิคของผมนั้นไม่มีอะไรมากครับ แค่มองในสิ่งที่คนทั่วไปเขาไม่มอง  ในเวลาอย่างงี้สิ่งที่คนทั่วไปไม่ค่อยมองช่วงนี้ผมคิดว่าน่าจะเป็นพวก อสังหาริมทรัพย์(กองทุนอสังหาที่เทรดในตลาด) กับหุ้นนอกกระแสตัวไม่ใหญ่หลายๆตัวในตลาด ผมค้นพบว่า หุ้นหรือกองทุนอสังหาหลายตัวในตลาด การซื้อขายเรียกได้ว่าทั้งวันอยู่แค่หลักแสน ราคาอยู่เท่าเดิมมาเป็นเดือนๆ(วิ่งขึ้นวิ่งลงน้อยมาก กราฟราคาแทบ