Posts

Showing posts from 2015

การตัดสินใจที่ยากที่สุด

การจะลงทุนอะไรซักอย่าง การตัดสินใจหลักๆผมว่าคงไม่พ้น "ตัดสินใจซื้อ" กับ "ตัดสินใจขาย" ซื้อหรือไม่ซื้อ ขายหรือไม่ขาย หลักๆไม่ว่าจะมือใหม่ มือโปร สายเทคนิค สายคุณค่า มันก็วนๆอยู่แค่นี้แหละ (ผมมองการตัดใจถือคือการ "ไม่ขาย" นะครับ) การตัดสินใจที่ยากที่สุด หลายคนอาจมองว่าคือ "การซื้อ" บ้างก็ว่าเพราะต้องดูพื้นฐานเยอะแยะไปหมด บ้างก็ว่าต้องรอสัญญาณทางเทคนิค บ้างก็ว่าเพราะความกลัวดอยของตัวนักลงทุนเอง แต่ผมกลับมองว่า "การซื้อ" ไม่ยากเท่า "การขาย" การซื้อเราใช้ข้อมูลที่ผ่านมาแล้วเป็นหลักในการประเมิน ทั้งเรื่องมูลค่าบริษัท งบการเงิน สัญญาณทางเทคนิค บทวิเคราะห์จากโบรคเกอร์(ซึ่งก็ต้องวิเคราะห์จากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วแล้วประเมินต่อไปในอนาคต) เราใช้อดีตเป็นข้อมูลส่วนใหญ่ในการตัดสินใจซื้อ แล้วการขายล่ะ โดยส่วนมากแล้วเรามักจะขายหุ้นทิ้งกันแบบไม่ค่อยมีเหตุมีผล แต่ผมว่าการขายทิ้งส่วนใหญ่มีพื้นฐานจากความกังวลเกี่ยวกับอนาคต กลัวดอย กลัวบริษัทเจ๊ง คาดการณ์ว่ากำไรจะลดลง กลัววิกฤติเศรษฐกิจ กลัวความผันผวนของหุ้น เปลี่ยนไปถือสินทรัพย์อื

ทรัพยากรที่มีค่าที่สุด

ผมชอบอ่านประวัติของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ นอกจากเรื่องที่ว่ามันจุดประกายและเป็นแรงบันดาลใจแล้ว มันยังสอนผมให้รู้ถึงคุณค่าของทรัพยากรตัวนึงที่จำเป็นมากๆในการพัฒนาตนเอง(รวมถึงพัฒนาอย่างอื่น) นั่นคือ "เวลา" ผมมักจะมองว่าเวลาเป็นทรัพยากรอย่างหนึ่งที่เราต้อง "จ่าย" ออกไปเป็นต้นทุนในการพัฒนาและเป็นสิ่งที่เราต้องจ่ายออกไปตลอดทั้งวันทั้งคืน ผมจึงมองเวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่ามาก มีจำกัด และไม่สามารถควบคุมได้ และมันจำเป็นกับทุกๆอย่าง ทั้งการพัฒนา การทำงาน การใช้ชีวิต ผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับการจัดสรรเวลามาก และไม่ชอบการทำงานที่ฉุกละหุกไปซะทุกอย่าง (โอเค เรื่องฉุกละหุกมันก็มีบ้างเวลาทำงาน แต่ไม่ใช่ฉุกเฉินแม่งทุกเรื่อง อันนั้นเกินไป) ผมมักจะวางแผนเพื่อใช้เวลาที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด สำหรับผมแล้ว ยิ่งผมรู้รายละเอียดของปัญหาที่ผมต้องแก้เร็วเท่าไร ยิ่งมีเวลาให้ผมศึกษาและแก้ไขมันได้มากเท่านั้น บุคคลที่ประสบความสำเร็จมีทั้งคนที่มีเวลามาก มีเวลาน้อย หลายคนเสียดายเวลาที่เสียไปในแต่ละช่วงชีวิต ยิ่งเราจัดสรรเวลาให้กับเรื่องเล็กเรื่องน้อยมากเท่าไร เรายิ่งมีเวลาจัดการเรื่

ช่องว่างของคอนโดและอพาร์ทเมนต์

ใครที่อยู่ในเขตตัวเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงเทพ ปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยวอื่นๆ คงจะได้เห็นคอนโดมากมายผุดขึ้นมาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งผมเริ่มรู้สึกว่า ช่องว่างที่เป็นจุดแตกต่างระหว่างคอนโดกับอพาร์ทเมนต์มันเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ในอดีตการตัดสินใจเลือกว่าจะผ่อนซื้อคอนโดหรือเช่าอพาร์ทเมนต์นั้น ผมว่ามันต่างกันมากอย่างมีนัยยะเลยทีเดียว ทั้งเรื่องการตกแต่ง ขนาดห้อง ระบบพื้นฐานต่างๆ ซึ่งคอนโดล้วนแล้วเหนือกว่าทั้งสิ้น การตัดสินใจเลือกในกรณีที่ต้องอยู่ในพื้นที่นั้นหลายปี แทบจะตัดสินกันที่ Budget ในกระเป๋ากับความต้องการส่วนตัวล้วนๆ สิ่งหนึ่งที่ผมหวั่นใจในเวลานี้คือ การที่คอนโดระดับล่างเริ่มทำห้องเหมือนอพาร์ทเมนต์ และสร้างในจำนวนมากๆใน 1 โครงการ บางที่ขึ้นอาคารใหม่เป็นสิบอาคารซึ่งแทบทั้งโครงการเป็นห้องราคาถูกจับตลาดระดับล่างทั้งสิ้น ขนาดห้องบางโครงการเล็กกว่าอพาร์ทเมนต์บางที่ด้วยซ้ำ และด้วยปริมาณห้องที่สร้างมาจำนวนมากๆ ทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่ามันกำลังจะ Over supply (หรือมัน Over ไปแล้วก็ไม่อาจทราบได้) ตอนนี้เลยเป็นช่วงเวลาที่อพาร์ทเมนต์พยายามอัพเกรดตัวเองให้ดีขึ้นเพื่ออัพราคาค่าเช่า ในขณ

จริยธรรม(ของบริษัท)กับการเลือกหุ้นลงทุน

หากใครที่อ่านหนังสือการลงทุนแนว VI บ่อยๆ จะสังเกตได้ว่า หัวข้อหนึ่งที่เราต้องพิจารณาในขั้นตอนเลือกหุ้นและประเมินมูลค่าคือ จริยธรรมของผู้บริหารและบริษัท จริยธรรมเป็นเรื่องที่วัดและดูยากกว่ามูลค่าแท้จริงมากๆครับ เพราะมันเป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ ประเมินออกมาเป็นตัวเลขไม่ได้ ไม่มีในงบการเงิน แต่เป็นสิ่งสำคัญที่หากเราพลาดก็อาจนำมาซึ่งหายนะได้เลย การซื้อหุ้นก็เหมือนการที่เราซื้อสิทธิ์เข้าไปเป็นหุ้นส่วนของบริษัทนั้นๆ(ในสัดส่วนตามจำนวนหุ้นที่เราถือ) เปรียบเหมือนเราเอาเงินเข้าไปลงทุนในกิจการนั้นๆ มันคงไม่ดีแน่ถ้าบริษัทที่เราเห็นคุณค่าและตัดสินใจร่วมลงทุน กลับคิดคดโกงผู้ถือหุ้น โดยปกติผมแบ่งจริยธรรมออกเป็น 3 หัวข้อคือ จริยธรรมต่อผู้ถือหุ้น จริยธรรมต่อลูกค้า จริยธรรมต่อพนักงานและลูกจ้าง ผู้ถือหุ้น บริษัทที่ดีเมื่อมีกำไรและไม่มีแผนการลงทุนต่อควรมีการปันผลเป็นเงินสดคืนผู้ถือหุ้น หรือหากบริษัทมีแผนลงทุนเพิ่มเติม ก็ต้องเป็นการลงทุนที่บริษัทมี knowledge มีความพร้อม และมีอนาคต ในหลายๆครั้ง บริษัทอาจเก็บเงินไว้เพื่อเตรียม Take over บริษัทอื่น ซึ่งหากจริง เราก็ต้องดูด้วยนะครับว่าไป Take

ค่าเสียโอกาสกับการขาดทุน

เชื่อไหมครับ บางครั้งคนเราก็หน้ามืดกดเทรดหุ้นไปอย่างวู่วามและไร้เหตุผลที่ดีมารองรับ เพียงเพราะการคิดย้ำซ้ำไปมาในเรื่องของ "ค่าเสียโอกาส" สำหรับคนที่ไม่คุ้นนะครับ ค่าเสียโอกาสไม่ได้หมายถึงค่าใช้จ่ายที่เราเสียเงินหรือทรัพย์สินไปจริงๆ แต่หมายถึงโอกาสใดๆที่ผ่านเข้ามาแล้วเราไม่ได้คว้ามันเอาไว้ โดยปกติผมคิดว่ามันเป็น "ความรู้สึกเสียดาย" ซะมากกว่า จึงไม่แปลกนักที่ความรู้สึกเสียดายที่เรียกเป็นทางการว่าค่าเสียโอกาสนี้ จะส่งผลค่อนข้างมากต่อการตัดสินใจซื้อขายหุ้นซึ่งส่วนมากมักจะพาเราติดดอยมากกว่าทำกำไร จริงอยู่ที่นักลงทุนทุกคนล้วนกลัวการขาดทุน แต่ในหลายๆคน กลับกลัวการเสียโอกาสมากกว่ากลัวขาดทุน บางครั้งพวกเขาเชื่อว่านี่เป็นโอกาสซึ่งถ้าไม่คว้าไว้ก็อาจจะไม่ได้เห็นโอกาสแบบนี้อีกนาน โดยส่วนมากความเข้าใจแบบนี้มักจะเกิดจากการหลงชอบหุ้นตัวนั้นๆ โดนเชียร์จากโบรคเกอร์ โดนเป่าหูไม่ว่าจะจากบทวิเคราะห์หรือคนรอบตัว บางครั้งอาจมาจากโพยผีบอกตามห้องไลน์หรือในอินเทอร์เน็ตด้วยซ้ำ ส่งผลให้พวกเขามักจะขาดทุนจากการเทรดเพราะโดนความอยากและความเสียดายบังตา ถ้าคุณคิดว่าหุ้น A จะโตต่อ วิธีหนึ่

การลืมตระหนักถึง "ความเสี่ยง"

Image
ผมได้คุยกับคุณพ่อเมื่อคืนเกี่ยวกับการลงทุน หากใครอ่านบทความแรกๆของผม(ซึ่งเขียนไม่ค่อยดีเท่าไรนัก) ผมจะมีบอกอยู่ว่าสไตล์การลงทุนของผมกับคุณพ่อนั้น ต่างกันคนละขั้วเลยก็ว่าได้ พ่อผม ณ เวลาที่เขียนบทความนี้ นิยมเล่น TFEX และเป็นสาย Technical จ๋าเลยทีเดียว ในขณะที่ผมอ่านรายงาน วิเคราะห์งบและพื้นฐานบริษัทหาหุ้นหรือกองทุนดีๆในราคาที่ถูกกว่าพื้นฐานหรือที่ผมเห็นว่าสมเหตุสมผล ความแตกต่างนี้มักทำให้สองคนพ่อลูกปะทะคารมเรื่องการลงทุนเป็นประจำ จนกระทั่งเมื่อคืน พ่อผมเข้ามาเปิดประเด็นว่า "จะหาเงินซักล้านนึงมาเทรด TFEX" ผมถึงกับอึ้งไปเลย ที่อึ้งเพราะหลายปีก่อนหน้านั้นพ่อผมเพิ่งเอาเงินสองแสนที่ยืมญาติมาไปทำอะไรไม่รู้ในตลาดแต่รู้ว่าเงินสองแสนนั้นหายวับไปไหนก็ไม่รู้ คราวนี้คุณท่านมาพร้อมความมั่นใจที่สูงขึ้น และจำนวนเงินที่มากขึ้น แน่นอน ด้วยสไตล์การลงทุนของผม ผมไม่มองตลาด TFEX อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าคงไม่เทรด TFEX เองแน่ๆ ถ้าจะเทรดก็คงผ่านกองทุนรวม คืนนั้นเลยได้ปะทะคารมกันอีกรอบซึ่งทำให้ผมสัมผัสถึงบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเหตุให้ต้องมาเขียนบทความนี้ ตามภาพแล้ว TFEX นั้นแทบจะเป็

สิ่งที่ควรทำ ในช่วงที่แทบทุกอย่างในตลาดแพงไปซะหมด

แม้จะเป็นช่วงที่ตลาดย่อตัวลงมา แต่หลายๆคนคงรู้สึกแบบเดียวกับผม มองไปทางไหนในตลาดทั้งหุ้นที่ดีและไม่ดี แทบทุกตัวล้วนแพงจนไม่น่าซื้อ ยิ่งหุ้นในกระแสยิ่งแล้วใหญ่ ปั่นกันจนดอยสูงมองไม่เห็นยอดกันเลยทีเดียว ผมว่าช่วงนี้นักลงทุนอย่างเราๆไปทำอย่างอื่นนอกจากนั่งเฝ้าตลาดหุ้นกันดีกว่า ไหนๆของมันก็แพงจนบางตัวดูจะเวอร์เกินจริงไปหน่อย เราก็แก้ด้วยการ "รอ" สิครับ ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมของมหาวิทยาลัย ผมเองก็ปิดเทอม ประกอบกับมีแลกเปลี่ยนต้องไปญี่ปุ่นช่วงต้นกรกฎาคม เลยไม่ได้ทำงานพิเศษอื่นใด เลยต้องวางเป้าหมายที่จะทำในช่วงปิดเทอมนี้ซึ่งผมว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนครับ 4 เป้าหมายที่ผมตั้งใจว่าจะทำช่วงปิดเทอม ณ เวลาที่หุ้นแพงโคตร หนังสือ สำหรับผมเอง มักจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับหุ้นและการตลาด ส่วนใหญ่ซื้อมาจากงานหนังสือด้วยความวู่วาม แต่เอาจริงๆสำหรับท่านที่ไม่ชอบเรื่องวิชาการมากๆ อาจจะเป็นวรรณกรรมหรือนิยายก็แล้วแต่ความชอบครับ เกม ด้วยความที่ผมเองโตมาพร้อมกับเกม อีกทั้งเกมยังเป็นแรงบันดาลใจแรกที่ทำให้ผมเลือกเรียนสายไอที ผมจึงเป็นพวกที่มีความสุขกับการได้อยู่เฉยๆนั่งเล่นเกม

อีกด้านหนึ่งของดอกเบี้ยเงินกู้

เรื่องหนี้สินแม้จะเป็นอะไรที่คนเราพยายามหลีกเลี่ยง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันใกล้ตัวเราเหลือเกิน ทั้งซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด ส่วนใหญ่ก็คงกู้เอาทั้งนั้น หรือเอาใกล้ตัวอีกหน่อยก็บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อต่างๆ สิ่งที่ตามมาคงไม่พ้น "ดอกเบี้ย" นั่นเอง เป็นที่รู้กันว่าดอกเบี้ยเงินกู้โดยเฉพาะพวกสินเชื่อส่วนบุคคลนั้น หนี้โหดขนาดไหน ขนาดเอาบัตรเครดิตกดเงินสดยังโดนดอกเบี้ยสูงลิ่วเลย กับคนที่วินัยการเงินเป๊ะๆวางแผนดีๆคงไม่เจอปัญหาอะไร แต่กับคนที่ไม่มีวินัย ใช้จ่ายเกินตัว อันนี้หายนะแน่ๆ สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นมักเป็นการบ่นลงโซเชียลว่าเจอดอกเบี้ยมหาโหด หรือบางคนด่าแบงค์หน้าเลือด รังแกคนจนกันเลยทีเดียว ผมว่าสิ่งที่ควรถามไม่ใช่ "เก็บโหดไปมั้ย" แต่เป็น "ทำไมถึงต้องเก็บขนาดนี้" มากกว่า นักลงทุนทุกท่านทั้งมือใหม่ มือเก่า มือโปร มือสมัครเล่น ย่อมรู้ว่าผลตอบแทนนั้นแปรผันตามความเสี่ยง อะไรก็ตามที่ผลตอบแทนมากๆย่อมมีความเสี่ยงสูง ซึ่งผลตอบแทนอาจมาในรูปเงินปันผล ราคาหลักทรัพย์ และดอกเบี้ย เมื่อดอกเบี้ยถูกนับเป็นรูปแบบหนึ่งของผลตอบแทน ดอกเบี้ยเงินกู้ต่างๆก็เช่นกัน แต่

[การลงทุน] กับดักของ Passive Income

หายไปนานต้องขออภัย เนื่องจากมรสุมโปรเจค + ไฟนอลมหาลัยดันมาอยู่ช่วงเดียวกัน หลายท่านคงจินตนาการออกว่าโหดร้ายเพียงใด แม้จะยังอยู่ในช่วงไฟนอล แต่ก็อยากเขียนอะ ฉะนั้น ช่างหัวมันไปก่อน เขียนบทความไม่กินเวลาขนาดนั้นหรอก ฮ่าๆๆๆ เชื่อว่าคนวัยทำงานทุกคนต้องเคยได้ยินคำว่า Passive Income หลายคนอาจจะผ่านมันมาแล้ว สำเร็จแล้วหรือล้มเหลวมาแล้วก็ตาม แต่เชื่อว่าทุกคนรู้ ขนาดนักศึกษายังรู้เลยครับ แม้แต่มิจฉาชีพก็ชอบอ้างคำนี้ ฉะนั้นทุกคนคงเคยได้ยินผ่านหูมาบ้างแหละ Passive Income มักมาคู่กับวลีที่ว่า "ให้เงินทำงาน" โดยทั่วไปคนมักเข้าใจว่าแค่เอาเงินไปกองไว้ซักที่(ลงทุน)แล้วก็ปล่อยลืมมันไป นั่งกระดิกเท้ารอรับเงินปันผลหรือผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆโดยไม่ต้องไปลงแรงลงสมองอะไร ซึ่งขอบอกเลยว่าความคิดนี้ ผิดอย่างแรง!!! สาเหตุที่คนเราเข้าใจผิดได้ขนาดนั้น ผมคิดว่าเป็นเรื่องคำนิยามของคำว่า "การทำงาน" มากกว่า ส่วนใหญ่คนเรามักเข้าใจว่าการทำงานคือการเข้าออฟฟิศตรงเวลา นั่งทำงานวันละ 8 ชั่วโมงหรือมากกว่า มีกรอบเวลาการทำงานและตำแหน่งหน้าที่ แต่โดยส่วนตัวผมแล้วการทำงานโดยทั่วไปกับการทำงานที่ให้ Passiv

[การลงทุน] รู้ทันแชร์ลูกโซ่ด้วยความรู้ด้านการลงทุน

ช่วงนี้คงไม่มีแชร์ลูกโซ่ไหนดังกระหึ่มทั่วอินเทอร์เน็ตในไทยแรงยิ่งกว่า U-Fun อีกแล้ว กับยอดความเสียหายคิดเป็นตัวเงินนับพันล้าน ด้วยวิธีการหลอกลวงรูปแบบเดิมๆ ไหนๆก็เป็นข่าวดังแล้ว เอามาเป็นตัวอย่างดีกว่า แชร์ลูกโซ่ไม่ใช่ของใหม่ มีมานานมากแล้ว ในอดีตแชร์ที่ดังๆคงหนีไม่พ้นแชร์แม่ชม้อย แชร์น้ำมันอันโด่งดังในอดีต ซึ่งข้อมูลทั้งหลายสามารถอ่านได้ที่ th.wikipedia.org/wiki/คดีแชร์ชม้อย ที่น่าแปลกใจกว่าคือ วิธีการโกงเงินจากประชาชนนั้นหากพิจารณาดีๆจะพบว่า มาในรูปแบบเดียวกันทั้งสิ้น ใครที่ตามอ่านบทความด้านการลงทุนของผม ผมมักจะเน้นที่ระบบความคิดและความเชื่อเสมอ ผมมักจะเน้นเรื่อง Performance ของบริษัทหรือหลักทรัพย์ที่เข้าไปลงทุน ซึ่งต้องสมเหตุสมผลตามความเป็นจริง ทีนี้เรามาดูกันว่าอะไรทำให้ U-Fun ดูไม่สมเหตุสมผล 1. ผลตอบแทนต่อเดือน สูงมาก! ผมเองก็จำไม่ได้ว่าทางนั้นโฆษณาไว้เดือนละกี่เปอร์เซ็น คาดว่าประมาณ 6% ต่อเดือนถ้าผมจำไม่ผิด ยังไงก็ตาม ลองคิดดูครับว่าบริษัทต้องทำกำไรเดือนนึงมากขนาดไหนเพื่อให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 6% ต่อเดือนหรือกว่า 72% ต่อปี อย่าลืมนะครับว่าหุ้นนั้นคิดผลตอบแทน ต่อปี ไม่ใ

[การลงทุน] สังเกตภาวะเศรษฐกิจง่ายๆจากหน้าทีวี

บางครั้งสิ่งที่บอกใบ้เรื่องภาวะเศรษฐกิจ กลับเป็นอะไรที่ใกล้ตัวมากเกินคาด โยนทฤษฎีเศรษฐศาสตร์และตัวเลขทั้งหมดทั้งมวลทิ้งไปก่อนอ่าน เพราะบทความนี้จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นเลย เชื่อว่าหลายๆคนมักดูทีวีกัน ทั้งดูข่าว ดูละคร หรือดูอะไรก็ตามแต่ที่ต้องรับสัญญาณโทรทัศน์เข้ามา เชื่อมั้ยครับ ธุรกิจบางกลุ่มแค่ดูทีวีคุณก็รู้ได้ว่ามันซบเซาหรือกำลังรุ่ง นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมสังเกตเห็นมาซักพักใหญ่ๆแล้วครับ ไม่มีใครบ้าที่ไหนอัดฉีดงบโฆษณาและการตลาดลงไปในสินค้าที่ขายดีจนผลิตไม่ทัน มาเริ่มจากเรื่องการตลาดง่ายๆกันก่อนครับ ปกติแล้วถ้าคุณจะอัดงบทำการตลาดลงไปในสินค้าหรือบริการใดๆ แน่นอน มันต้องเป็นสินค้าที่ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า หรือมีการคาดการณ์ว่ามันมี Potential ที่จะเติบโตต่อไปได้คุ้มกับงบที่เสียไป ทีนี้ลองมองกลับกัน ถ้าสินค้านั้นมันขายดีอยู่แล้ว ดีจนผลิตไม่ทัน และเป็นสินค้าที่ประมาณการณ์กันว่า Potential มันแทบจะชนเพดานแล้ว คุณจะอัดงบลงไปมั้ยครับ ด้วยหลักดังกล่าว เราเอามาสังเกตรูปแบบของโฆษณาและรายการในโทรทัศน์นะครับ โดยเฉพาะช่องที่เกี่ยวเนื่องกับการเงินการลงทุนอย่าง Money Channal จะเห

[การลงทุน] เทคนิคหาของถูกในเวลาที่ของแพงทั้งตลาด

ช่วงที่ผมเขียนบทความนี้ ตลาดหุ้นยังคง side way อยู่ประมาณ 1540 ได้ ซึ่งดูๆไปแล้วก็นับว่าราคาหุ้นตัวใหญ่ๆขึ้นมาสูงจนดูจะแพงเกินพื้นฐานไปมาก เรียกได้ว่าแพงแทบจะทั้งตลาดเลยทีเดียว อาจเป็นโชคหรือเป็นกรรม หรือทั้งสองอย่าง ที่ทำให้ผมเองดันเข้าตลาดมาในช่วงที่ "แพงทั้งตลาด" เหมือนเอาเงินมานอนเล่นในพอร์ทเฉยๆโดยไม่รู้จะซื้ออะไรเลยทีเดียว แต่แล้วเมื่อไม่นานมานี้ผมได้ค้นพบเทคนิคเล็กๆที่ช่วยให้ผมพอจะหา "ของดี" ในช่วงเวลาอย่างนี้ได้ แม้ของที่ได้มาจะไม่ถูก แต่ก็ไม่แพงจนเกินรับได้ เทียบกับหุ้นยอดนิยมช่วงนี้แล้ว ถือว่าถูกกว่าในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เขาว่ากันว่า โอกาสมักหาได้ง่ายในจุดที่ไม่ค่อยมีคนสนใจหรือมองข้ามมันไป เทคนิคของผมนั้นไม่มีอะไรมากครับ แค่มองในสิ่งที่คนทั่วไปเขาไม่มอง  ในเวลาอย่างงี้สิ่งที่คนทั่วไปไม่ค่อยมองช่วงนี้ผมคิดว่าน่าจะเป็นพวก อสังหาริมทรัพย์(กองทุนอสังหาที่เทรดในตลาด) กับหุ้นนอกกระแสตัวไม่ใหญ่หลายๆตัวในตลาด ผมค้นพบว่า หุ้นหรือกองทุนอสังหาหลายตัวในตลาด การซื้อขายเรียกได้ว่าทั้งวันอยู่แค่หลักแสน ราคาอยู่เท่าเดิมมาเป็นเดือนๆ(วิ่งขึ้นวิ่งลงน้อยมาก กราฟราคาแทบ

[Mindset] ยอมรับและศึกษาความพ่ายแพ้ในวันนี้ เพื่อชัยชนะในวันข้างหน้า

อาจจะเป็นนิสัยยอดนิยมของนักลงทุนไทยที่เห็นได้ชัดเจนมากตามเว็บบอร์ดต่างๆ หลายคนขาดทุนย่อยยับจากการเดินเกมที่ผิดพลาด แต่กลับปล่อยวาง ไม่ยอมรับ และไม่เรียนรู้มัน ผมว่านี่คือความผิดพลาดนะ ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของคนเราคือการไม่ยอมรับความผิดพลาด บางทีอาจไม่ใช่แค่บรรดานักลงทุน คนทั่วๆไปที่หาเช้ากินค่ำจำนวนมากก็เป็นเช่นเดียวกัน เป็นที่ทราบกันดีว่ากระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ ในหลายๆกรณีเราเรียนรู้จากข้อผิดพลาด เพื่อที่เราจะหลีกเลี่ยงมันในอนาคต แต่กระบวนการเรียนรู้มันจะเริ่มต้นไม่ได้เลย ถ้าเจ้าตัวดันไม่ยอมรับความผิดพลาดที่ก่อขึ้นแล้วมโนหลอกตัวเองไปวันๆ คุณต้องยอมรับก่อนนะ ว่าคุณแพ้ในครั้งนี้ แล้วมาพิจารณาว่าที่คุณแพ้เพราะอะไร ขาดตกบกพร่องอะไร ตัดสินใจพลาดตรงไหน มันจึงจะเกิดการพัฒนาในระบบความคิด ลองคิดดูสิ ถ้าคุณเทรดหุ้นไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบแล้วขาดทุนพินาศย่อยยับ ถ้าคุณไม่ยอมรับความผิดพลาดนั้นจะเกิดอะไรขึ้น คุณจะมโนไปวันๆว่า "กูถือหุ้นยาว" "กูเป็นVI" (แต่ก่อนหน้านั้นนี่ Technical จัดเต็ม) แล้วมันมีประโยชน์อะไร หุ้นตัวที่คุณพลาด ก็ยังดองค้างแดงเถือกอยู่อย่างนั้

[Mindset] คิดสั้น คิดยาว

คิดสั้น คิดยาว คิดอย่างไรถึงจะดี เป็นที่น่าสนใจว่าวาทะกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการลงทุนมักจะมีคำเกี่ยวกับการคิดสั้นๆและคิดยาวๆเสมอ เห็นกันเกลื่อนไปหมด คิดสั้น หมายถึงการมองไปในอนาคตข้างหน้าเพียงแค่ระยะสั้นๆ มักถูกใช้กับการฆ่าตัวตายและวิธีคิดในการทำงาน สาเหตุที่ใช้กับการฆ่าตัวตายเพราะคงไม่มีคนสติดีที่ไหนลูกขึ้นมาเอามีดกรีดข้อมือหรือหยิบเชือกมาผูกคอตายใต้ต้นไม้หรอกครับ การที่คนจะฆ่าตัวตาย มันต้องมีเหตุ เหตุนั้นมักจะเป็นปัญหาต่างๆที่เขามองว่า "ไม่มีทางออก" แม้ว่าปัญหานั้นเมื่อคนนอกพิจารณา อาจจะพบว่ามีทางออกมากมายให้เลือกเดินเลยทีเดียว ส่วนสาเหตุที่ใช้กับวิธีคิดการทำงาน ให้นึกถึงพวกพนักงานเช้าชามเย็นชาม สมัยนี้โลกมันเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นมาก แต่หลายๆคนกลับคิดเพียงสั้นๆ ทำงานให้มันจบๆไปโดยที่ไม่ได้พัฒนาหรือเรียนรู้อะไรจากมันเลย จุดเด่นของคนที่ชอบคิดสั้นๆ มักจะมองเห็นแค่ตัวเอง กับปัญหามากมายสุมรอบตัวอยู่ตรงหน้า หลายครั้งมองไม่เห็นทางออกของปัญหาแถมยังเอาปัญหาพวกนั้นหมกไว้ซะเอง และมักทำอะไรแย่ๆลงไปโดยไม่นึกถึงคนรอบข้าง เช่น ฆ่าตัวตายหนีปัญหาโดยทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลัง(

[Marketing] ข้อคิดการตลาดจากการไปสัมภาษณ์ฝึกงาน The internship

เจ้าของบล็อกก็เป็นคนนึงที่ยื่นสมัคร The internship สาขา Digital Marketing ไป และติดเข้ารอบสัมภาษณ์ซึ่งไปสัมภาษณ์มาวันนี้(วันที่เขียนบทความนี้)สดๆร้อนๆ ขอเกริ่นก่อนว่า The internship เป็นโครงการฝึกงานที่หลายๆบริษัทร่วมกันจัดขึ้น จุดประสงค์ก็เพื่อคัดเลือกนักศึกษาไปฝึกงานตามสาขาที่สมัครนั่นแล โดยปีนี้ (2015) เป็นปีแรกที่จัด แกนหลักที่จัดก็ True นั่นเอง(ใครเคยไป True Incube จะรู้ดี) ปีนี้รอบสัมภาษณ์ 100 คน(ซึ่งเอาจริงๆได้ยินว่าเรียกตัวสำรองมาเยอะเกิน 100 เหมือนกัน) สัมภาษณ์ที่ตึก AIA Capital Center แถวรัชดา รอบที่เจ้าของบล็อกได้คือ 13:15 ซึ่งเอาจริงๆกว่าจะได้สัมภาษณ์ก็นู่น เกือบบ่ายสอง การสัมภาษณ์ ก็เหมือนทั่วๆไป ถามเกี่ยวกับการตลาดนิดๆหน่อยๆ ความเห็น ทัศนคติ แต่ที่เด็ดสุดคือคำถามที่เป็นสาเหตุให้เจ้าของบล็อกต้องเอามาเขียน "สมมติ CP ขายข้าวกล่องติดกับร้านข้าวแกง ควรทำการตลาดยังไงให้คนขายข้าวแกงไม่รู้สึกอคติกับ CP" ถามประมาณนี้แหละ  อึ้งสิครับ เจอคำถามนี้เข้าไป ที่อึ้งเพราะ แม่งเรื่องจริงชัดๆ สมัยนี้เซเว่นขายข้าวกล่องสารพัดเมนู รายล้อมไปด้วยร้านข้าวแกงในบางสาขา คำถาม

[การลงทุน] ทำไมต้องเป็น "ทองคำ"

Image
บ้านใครชอบเสพข่าวเรื่องสงครามจะเกิด / อเมริกาจะก่อสงคราม / จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เร็วๆนี้ บลาๆ (บ้านผมก็เป็น พูดตั้งมาตั้งแต่ 7 ปีที่แล้วได้) คงจะมีความคิดเรื่อง ซื้อทองคำเก็บไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยง ซึ่งแม้เรื่องสงครามนี่ออกจะมโนเวอร์เกินจริงเหนือทุกตรรกะเหตุผลจนผมเองก็ไม่เข้าใจว่าเชื่อกันได้ยังไง แต่ในเรื่องที่แม่งโคตร illogical เหล่านั้น ก็ยังมีความจริงอยู่ -- รูปนี้ดึงมาจาก www.tnews.co.th  -- หลายคนคงสงสัย "ทำไมต้องเป็นทองคำ" เหตุผลจริงๆมีข้อเดียวเลยคือ ทองคำเป็นแร่ธาตุที่ใช้ประกันค่าเงินตรา ทั้งนี้ยกเว้น US Dollar โดยปกติแล้ว การที่รัฐบาลในโลก(ยกเว้นอเมริกา) จะพิมพ์เงินออกมา จำเป็นต้องมีทองคำสำรองไว้ในคลังเพื่อค้ำประกันค่าเงินที่พิมพ์ออกมา ยิ่งพิมพ์ออกมามาก ก็จำเป็นต้องมีทองคำในคลังมาก กล่าวได้อีกอย่างคือ ทองคำคือมูลค่าที่แท้จริงของเงินตรา หากมองอีกด้าน ทองคำเป็นวัตถุที่มีค่าในตัวของมันเอง เห็นได้จากวิกฤติเงินเฟ้อของบางประเทศ เมื่อเงินด้อยค่าลงมากๆจากการพิมพ์เงินมหาศาลจนแทบจะด้อยค่า ประชาชนในประเทศนั้นๆจะเริ่มทิ้งเงินตราของประเทศตัวเองแล