Posts

อีกด้านหนึ่งของดอกเบี้ยเงินกู้

เรื่องหนี้สินแม้จะเป็นอะไรที่คนเราพยายามหลีกเลี่ยง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันใกล้ตัวเราเหลือเกิน ทั้งซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด ส่วนใหญ่ก็คงกู้เอาทั้งนั้น หรือเอาใกล้ตัวอีกหน่อยก็บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อต่างๆ สิ่งที่ตามมาคงไม่พ้น "ดอกเบี้ย" นั่นเอง เป็นที่รู้กันว่าดอกเบี้ยเงินกู้โดยเฉพาะพวกสินเชื่อส่วนบุคคลนั้น หนี้โหดขนาดไหน ขนาดเอาบัตรเครดิตกดเงินสดยังโดนดอกเบี้ยสูงลิ่วเลย กับคนที่วินัยการเงินเป๊ะๆวางแผนดีๆคงไม่เจอปัญหาอะไร แต่กับคนที่ไม่มีวินัย ใช้จ่ายเกินตัว อันนี้หายนะแน่ๆ สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นมักเป็นการบ่นลงโซเชียลว่าเจอดอกเบี้ยมหาโหด หรือบางคนด่าแบงค์หน้าเลือด รังแกคนจนกันเลยทีเดียว ผมว่าสิ่งที่ควรถามไม่ใช่ "เก็บโหดไปมั้ย" แต่เป็น "ทำไมถึงต้องเก็บขนาดนี้" มากกว่า นักลงทุนทุกท่านทั้งมือใหม่ มือเก่า มือโปร มือสมัครเล่น ย่อมรู้ว่าผลตอบแทนนั้นแปรผันตามความเสี่ยง อะไรก็ตามที่ผลตอบแทนมากๆย่อมมีความเสี่ยงสูง ซึ่งผลตอบแทนอาจมาในรูปเงินปันผล ราคาหลักทรัพย์ และดอกเบี้ย เมื่อดอกเบี้ยถูกนับเป็นรูปแบบหนึ่งของผลตอบแทน ดอกเบี้ยเงินกู้ต่างๆก็เช่นกัน แต่

[การลงทุน] กับดักของ Passive Income

หายไปนานต้องขออภัย เนื่องจากมรสุมโปรเจค + ไฟนอลมหาลัยดันมาอยู่ช่วงเดียวกัน หลายท่านคงจินตนาการออกว่าโหดร้ายเพียงใด แม้จะยังอยู่ในช่วงไฟนอล แต่ก็อยากเขียนอะ ฉะนั้น ช่างหัวมันไปก่อน เขียนบทความไม่กินเวลาขนาดนั้นหรอก ฮ่าๆๆๆ เชื่อว่าคนวัยทำงานทุกคนต้องเคยได้ยินคำว่า Passive Income หลายคนอาจจะผ่านมันมาแล้ว สำเร็จแล้วหรือล้มเหลวมาแล้วก็ตาม แต่เชื่อว่าทุกคนรู้ ขนาดนักศึกษายังรู้เลยครับ แม้แต่มิจฉาชีพก็ชอบอ้างคำนี้ ฉะนั้นทุกคนคงเคยได้ยินผ่านหูมาบ้างแหละ Passive Income มักมาคู่กับวลีที่ว่า "ให้เงินทำงาน" โดยทั่วไปคนมักเข้าใจว่าแค่เอาเงินไปกองไว้ซักที่(ลงทุน)แล้วก็ปล่อยลืมมันไป นั่งกระดิกเท้ารอรับเงินปันผลหรือผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆโดยไม่ต้องไปลงแรงลงสมองอะไร ซึ่งขอบอกเลยว่าความคิดนี้ ผิดอย่างแรง!!! สาเหตุที่คนเราเข้าใจผิดได้ขนาดนั้น ผมคิดว่าเป็นเรื่องคำนิยามของคำว่า "การทำงาน" มากกว่า ส่วนใหญ่คนเรามักเข้าใจว่าการทำงานคือการเข้าออฟฟิศตรงเวลา นั่งทำงานวันละ 8 ชั่วโมงหรือมากกว่า มีกรอบเวลาการทำงานและตำแหน่งหน้าที่ แต่โดยส่วนตัวผมแล้วการทำงานโดยทั่วไปกับการทำงานที่ให้ Passiv

[การลงทุน] รู้ทันแชร์ลูกโซ่ด้วยความรู้ด้านการลงทุน

ช่วงนี้คงไม่มีแชร์ลูกโซ่ไหนดังกระหึ่มทั่วอินเทอร์เน็ตในไทยแรงยิ่งกว่า U-Fun อีกแล้ว กับยอดความเสียหายคิดเป็นตัวเงินนับพันล้าน ด้วยวิธีการหลอกลวงรูปแบบเดิมๆ ไหนๆก็เป็นข่าวดังแล้ว เอามาเป็นตัวอย่างดีกว่า แชร์ลูกโซ่ไม่ใช่ของใหม่ มีมานานมากแล้ว ในอดีตแชร์ที่ดังๆคงหนีไม่พ้นแชร์แม่ชม้อย แชร์น้ำมันอันโด่งดังในอดีต ซึ่งข้อมูลทั้งหลายสามารถอ่านได้ที่ th.wikipedia.org/wiki/คดีแชร์ชม้อย ที่น่าแปลกใจกว่าคือ วิธีการโกงเงินจากประชาชนนั้นหากพิจารณาดีๆจะพบว่า มาในรูปแบบเดียวกันทั้งสิ้น ใครที่ตามอ่านบทความด้านการลงทุนของผม ผมมักจะเน้นที่ระบบความคิดและความเชื่อเสมอ ผมมักจะเน้นเรื่อง Performance ของบริษัทหรือหลักทรัพย์ที่เข้าไปลงทุน ซึ่งต้องสมเหตุสมผลตามความเป็นจริง ทีนี้เรามาดูกันว่าอะไรทำให้ U-Fun ดูไม่สมเหตุสมผล 1. ผลตอบแทนต่อเดือน สูงมาก! ผมเองก็จำไม่ได้ว่าทางนั้นโฆษณาไว้เดือนละกี่เปอร์เซ็น คาดว่าประมาณ 6% ต่อเดือนถ้าผมจำไม่ผิด ยังไงก็ตาม ลองคิดดูครับว่าบริษัทต้องทำกำไรเดือนนึงมากขนาดไหนเพื่อให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 6% ต่อเดือนหรือกว่า 72% ต่อปี อย่าลืมนะครับว่าหุ้นนั้นคิดผลตอบแทน ต่อปี ไม่ใ

[การลงทุน] สังเกตภาวะเศรษฐกิจง่ายๆจากหน้าทีวี

บางครั้งสิ่งที่บอกใบ้เรื่องภาวะเศรษฐกิจ กลับเป็นอะไรที่ใกล้ตัวมากเกินคาด โยนทฤษฎีเศรษฐศาสตร์และตัวเลขทั้งหมดทั้งมวลทิ้งไปก่อนอ่าน เพราะบทความนี้จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นเลย เชื่อว่าหลายๆคนมักดูทีวีกัน ทั้งดูข่าว ดูละคร หรือดูอะไรก็ตามแต่ที่ต้องรับสัญญาณโทรทัศน์เข้ามา เชื่อมั้ยครับ ธุรกิจบางกลุ่มแค่ดูทีวีคุณก็รู้ได้ว่ามันซบเซาหรือกำลังรุ่ง นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมสังเกตเห็นมาซักพักใหญ่ๆแล้วครับ ไม่มีใครบ้าที่ไหนอัดฉีดงบโฆษณาและการตลาดลงไปในสินค้าที่ขายดีจนผลิตไม่ทัน มาเริ่มจากเรื่องการตลาดง่ายๆกันก่อนครับ ปกติแล้วถ้าคุณจะอัดงบทำการตลาดลงไปในสินค้าหรือบริการใดๆ แน่นอน มันต้องเป็นสินค้าที่ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า หรือมีการคาดการณ์ว่ามันมี Potential ที่จะเติบโตต่อไปได้คุ้มกับงบที่เสียไป ทีนี้ลองมองกลับกัน ถ้าสินค้านั้นมันขายดีอยู่แล้ว ดีจนผลิตไม่ทัน และเป็นสินค้าที่ประมาณการณ์กันว่า Potential มันแทบจะชนเพดานแล้ว คุณจะอัดงบลงไปมั้ยครับ ด้วยหลักดังกล่าว เราเอามาสังเกตรูปแบบของโฆษณาและรายการในโทรทัศน์นะครับ โดยเฉพาะช่องที่เกี่ยวเนื่องกับการเงินการลงทุนอย่าง Money Channal จะเห

[การลงทุน] เทคนิคหาของถูกในเวลาที่ของแพงทั้งตลาด

ช่วงที่ผมเขียนบทความนี้ ตลาดหุ้นยังคง side way อยู่ประมาณ 1540 ได้ ซึ่งดูๆไปแล้วก็นับว่าราคาหุ้นตัวใหญ่ๆขึ้นมาสูงจนดูจะแพงเกินพื้นฐานไปมาก เรียกได้ว่าแพงแทบจะทั้งตลาดเลยทีเดียว อาจเป็นโชคหรือเป็นกรรม หรือทั้งสองอย่าง ที่ทำให้ผมเองดันเข้าตลาดมาในช่วงที่ "แพงทั้งตลาด" เหมือนเอาเงินมานอนเล่นในพอร์ทเฉยๆโดยไม่รู้จะซื้ออะไรเลยทีเดียว แต่แล้วเมื่อไม่นานมานี้ผมได้ค้นพบเทคนิคเล็กๆที่ช่วยให้ผมพอจะหา "ของดี" ในช่วงเวลาอย่างนี้ได้ แม้ของที่ได้มาจะไม่ถูก แต่ก็ไม่แพงจนเกินรับได้ เทียบกับหุ้นยอดนิยมช่วงนี้แล้ว ถือว่าถูกกว่าในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เขาว่ากันว่า โอกาสมักหาได้ง่ายในจุดที่ไม่ค่อยมีคนสนใจหรือมองข้ามมันไป เทคนิคของผมนั้นไม่มีอะไรมากครับ แค่มองในสิ่งที่คนทั่วไปเขาไม่มอง  ในเวลาอย่างงี้สิ่งที่คนทั่วไปไม่ค่อยมองช่วงนี้ผมคิดว่าน่าจะเป็นพวก อสังหาริมทรัพย์(กองทุนอสังหาที่เทรดในตลาด) กับหุ้นนอกกระแสตัวไม่ใหญ่หลายๆตัวในตลาด ผมค้นพบว่า หุ้นหรือกองทุนอสังหาหลายตัวในตลาด การซื้อขายเรียกได้ว่าทั้งวันอยู่แค่หลักแสน ราคาอยู่เท่าเดิมมาเป็นเดือนๆ(วิ่งขึ้นวิ่งลงน้อยมาก กราฟราคาแทบ

[Mindset] ยอมรับและศึกษาความพ่ายแพ้ในวันนี้ เพื่อชัยชนะในวันข้างหน้า

อาจจะเป็นนิสัยยอดนิยมของนักลงทุนไทยที่เห็นได้ชัดเจนมากตามเว็บบอร์ดต่างๆ หลายคนขาดทุนย่อยยับจากการเดินเกมที่ผิดพลาด แต่กลับปล่อยวาง ไม่ยอมรับ และไม่เรียนรู้มัน ผมว่านี่คือความผิดพลาดนะ ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของคนเราคือการไม่ยอมรับความผิดพลาด บางทีอาจไม่ใช่แค่บรรดานักลงทุน คนทั่วๆไปที่หาเช้ากินค่ำจำนวนมากก็เป็นเช่นเดียวกัน เป็นที่ทราบกันดีว่ากระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ ในหลายๆกรณีเราเรียนรู้จากข้อผิดพลาด เพื่อที่เราจะหลีกเลี่ยงมันในอนาคต แต่กระบวนการเรียนรู้มันจะเริ่มต้นไม่ได้เลย ถ้าเจ้าตัวดันไม่ยอมรับความผิดพลาดที่ก่อขึ้นแล้วมโนหลอกตัวเองไปวันๆ คุณต้องยอมรับก่อนนะ ว่าคุณแพ้ในครั้งนี้ แล้วมาพิจารณาว่าที่คุณแพ้เพราะอะไร ขาดตกบกพร่องอะไร ตัดสินใจพลาดตรงไหน มันจึงจะเกิดการพัฒนาในระบบความคิด ลองคิดดูสิ ถ้าคุณเทรดหุ้นไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบแล้วขาดทุนพินาศย่อยยับ ถ้าคุณไม่ยอมรับความผิดพลาดนั้นจะเกิดอะไรขึ้น คุณจะมโนไปวันๆว่า "กูถือหุ้นยาว" "กูเป็นVI" (แต่ก่อนหน้านั้นนี่ Technical จัดเต็ม) แล้วมันมีประโยชน์อะไร หุ้นตัวที่คุณพลาด ก็ยังดองค้างแดงเถือกอยู่อย่างนั้

[Mindset] คิดสั้น คิดยาว

คิดสั้น คิดยาว คิดอย่างไรถึงจะดี เป็นที่น่าสนใจว่าวาทะกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการลงทุนมักจะมีคำเกี่ยวกับการคิดสั้นๆและคิดยาวๆเสมอ เห็นกันเกลื่อนไปหมด คิดสั้น หมายถึงการมองไปในอนาคตข้างหน้าเพียงแค่ระยะสั้นๆ มักถูกใช้กับการฆ่าตัวตายและวิธีคิดในการทำงาน สาเหตุที่ใช้กับการฆ่าตัวตายเพราะคงไม่มีคนสติดีที่ไหนลูกขึ้นมาเอามีดกรีดข้อมือหรือหยิบเชือกมาผูกคอตายใต้ต้นไม้หรอกครับ การที่คนจะฆ่าตัวตาย มันต้องมีเหตุ เหตุนั้นมักจะเป็นปัญหาต่างๆที่เขามองว่า "ไม่มีทางออก" แม้ว่าปัญหานั้นเมื่อคนนอกพิจารณา อาจจะพบว่ามีทางออกมากมายให้เลือกเดินเลยทีเดียว ส่วนสาเหตุที่ใช้กับวิธีคิดการทำงาน ให้นึกถึงพวกพนักงานเช้าชามเย็นชาม สมัยนี้โลกมันเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นมาก แต่หลายๆคนกลับคิดเพียงสั้นๆ ทำงานให้มันจบๆไปโดยที่ไม่ได้พัฒนาหรือเรียนรู้อะไรจากมันเลย จุดเด่นของคนที่ชอบคิดสั้นๆ มักจะมองเห็นแค่ตัวเอง กับปัญหามากมายสุมรอบตัวอยู่ตรงหน้า หลายครั้งมองไม่เห็นทางออกของปัญหาแถมยังเอาปัญหาพวกนั้นหมกไว้ซะเอง และมักทำอะไรแย่ๆลงไปโดยไม่นึกถึงคนรอบข้าง เช่น ฆ่าตัวตายหนีปัญหาโดยทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลัง(