Posts

แนวคิดการคำนวณช่วงมูลค่าแท้จริง ที่ไม่ได้เอาไปใส่ในโปรเจคจบ

โดยส่วนตัวผมมักไม่ให้น้ำหนักกับการคำนวณค่า Fair Value หรือมูลค่าที่แท้จริงแบบจุดเดียวเท่าไร มันมีปัจจัยมากมายที่อาจทำให้ค่านั้นผิดพลาดได้และโดยทั่วไปปัจจัยที่ทำให้ผลลัพธ์การคำนวณผิดพลาดนั้นไม่ได้เป็นปัจจัยที่สามารถคำนวณได้ แต่ในโปรเจคจบผมกลับเลือกที่จะใช้การคำนวณมูลค่าแท้จริงแบบจุดเดียว ย้อนกลับไปช่วงก่อนที่ผมจะนำ Dividend Discount Model มาปรับปรุงสูตรสำหรับกองอสังหาและกอง REIT เพื่อใช้เป็นโมเดลหลักในการคำนวณมูลค่าแท้จริงเป็นจุดๆเดียว ผมเคยมีแนวคิดจะนำวิธีการคำนวณมูลค่าแท้จริงแบบช่วงที่ผมมักใช้กับหุ้นมาใช้กับโปรเจคซึ่งเป็นกองอสังหา ซึ่งตามหลักการแล้วหากสามารถคาดการณ์อัตราเติบโตของเงินปันผลและช่วงผลตอบแทนที่ต้องการได้อย่างสมเหตุสมผล ผลลัพธ์การคำนวณจะกลายเป็นช่วงราคาที่เหมาะสมแก่การลงทุน ณ ระดับผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนยอมรับได้บนอัตราการเติบโตที่น่าจะเป็นและอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจถึงความเสี่ยงของผลประกอบการ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่การ implement การคำนวณลงในระบบ แต่เป็นการพิสูจน์ทางวิชาการให้มันมีน้ำหนักมากกว่า หากสังเกตดีๆ ปัญหาของไอเดียนี้คือ มันพึ่งพามุมมองต่ออนาคตของกองทุนเป็นอย

โปรเจคจบกับโอกาสเติบโตสู่ Fintech Startup

เท่าที่จำได้ ผมไม่เคยพูดถึงเรื่องโปรเจคจบซึ่งผมกำลังทำอยู่ ณ เวลาที่เขียนบทความนี้เลย งานแรกที่ผสมผสานความรู้ของทั้งฝั่งการลงทุนและฝั่งไอทีเข้าด้วยกัน ในสเกลที่มีความเป็นไปได้ที่มันจะกลายเป็น "บางสิ่ง" ที่ใช้งานได้จริงๆ โปรเจคจบของผมคือเว็บที่ย่อยและนำเสนอข้อมูลจากการวิเคราะห์เชิงคุณภาพของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกอง REIT ซึ่งเอาจริงๆมันคือการเอาข้อมูลมาให้คอมสกรีนขั้นต้นตามเงื่อนไขที่ผมอยากได้ซะมากกว่า ต้นตอของมันก็มาจากความขี้เกียจสกรีนหากองทุนดีๆด้วยตัวเองนี่นะ มันน่าเบื่อจะตาย ผมมองโปรเจคตัวเองอยู่ในสเกลเล็กๆมาโดยตลอด อาจจะเนื่องจากมันเกิดขึ้นจากความอยากได้อยากมีของผมเอง เลยไม่ค่อยสนใจถึงศักยภาพของมันในเชิงพาณิชย์จริงๆเท่าไร จนกระทั่งวันนึงที่มีคนจากบริษัท G-Able มาดูโปรเจคจบของนักศึกษาสาย BI ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น สำหรับผมในวันนั้นนอกจากความตื่นเต้นนิดหน่อยที่จะได้โชว์ของให้คนนอกแล้ว การนำเสนอครั้งนั้นผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายนัก แต่บรรดากรรมการซึ่งมาจาก G-Able ตอนนั้นแลดูจะสนใจงานที่ผมทำ หลังจากที่ทางบริษัทเลือก 5 กลุ่มไปคุยต่อที่บริษัท ซึ่งผมเป็นหนึ่

เหตุผลที่ผลักดันให้เราเริ่มชีวิตการลงทุน

สำหรับเด็กปี4 อย่างผมซึ่งเป็นส่วนน้อยที่มีความรู้ด้านการลงทุนสูงกว่าเพื่อนร่วมรุ่นอย่างมาก มักจะโดนขอให้ช่วยแนะนำการลงทุนแก่เพื่อนๆที่ต่างก็เริ่มสนใจศาสตร์ด้านนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ผมว่าคงเป็นเรื่องปกติของยุคสมัยนี้ละมั้ง พอพวกเราใกล้เรียนจบต้องไปทำงานรับเงินเดือนหรือบางคนอาจมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เราจะเริ่มหาลู่ทางทำเงินให้งอกเงย ซึ่งเป็น mindset ที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อนมาก ผมคิดว่าเหตุผลักดันให้แต่ละคนเริ่มสนใจด้านการลงทุนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนลงทุนเพราะเริ่มวางแผนเกษียณ บางคนอยากรวย บางคนอาจแค่อยากเห็นเงินงอกงามดีกว่าการเอาไปฝากธนาคาร ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด นี่เป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนชุดความคิดที่เรามีต่อการลงทุน เรามักไม่ค่อยทุ่มเทกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าเรามองว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ปัจจัยที่ critical กับตัวเอง เราจึงเห็นว่านักลงทุนมักจะมีกลุ่มที่ทุ่มเทศึกษามันอย่างมากกว่าจะกดซื้อหุ้นซักตัวกับกลุ่มที่ไม่รู้อะไรแล้วซื้อตามโพยผีบอกที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน "ลงทุนเพื่ออะไร" เป็นคำถามที่ผมถามเพื่อนทุกคนที่มาขอคำแนะนำเรื่องการลงทุนจากผม ผมเชื่อว่าหากเขาตอบคำถามนี้ได้ แสดงว่าเขามีแรงผลักดันที่ไม

Stocklog 281216 ข้อคิดจากการ IPO ของหุ้น AU

หลังจากเกิดปรากฎการณ์บวก 200% จากราคา IPO ใน 2 วันของหุ้น AU หรือ After You ซึ่งแม้หลังจากสองวันแรกราคาจะไหลลงเรื่อยๆก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหุ้นตัวนี้ "กระแสแรง" จริงๆ จากราคา IPO ที่ 4.50 บาท ณ พาร์ 0.10 ต่ำที่สุดเท่าที่ตลาดยอมให้ได้ ราคาพุ่งถึงจุดสูงสุดที่ 15.20 บาท ณ PE สูงกว่า 100 เท่า ซึ่งส่วนตัวผมเองนั้นรู้สึกว่าหุ้นตัวนี้แพงพอสมควรตั้งแต่ราคา IPO ซึ่งตอนนั้น PE ก็ประมาณ 30 เท่าแล้ว การขึ้นมาชน Ceiling ในวันแรกและยังพุ่งต่อในวันที่สอง นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจและบ่งบอกถึงความคาดหวังแรงกล้าต่อบริษัทของนักลงทุน ตั้งแต่ผมเริ่มลงทุนมา ต้องยอมรับเลยว่าหุ้นตัวนี้มีสตอรี่ค่อนข้างมาก รวมถึงกระแสดราม่าในหมู่นักลงทุนซึ่งถกเถียงกันเอาเป็นเอาตายเรื่องอนาคตของกิจการคาเฟ่ขนมหวานของบริษัท ซึ่งช่วงนั้นเด้งกันเต็มฟีดบน Facebook ของผม อ่านไปก็เฮฮาบันเทิงกันไป แม้คนเริ่มประเด็นแทบจะด่ากันเองในบางโพสก็ตาม นักวิเคราะห์และนักลงทุนมักให้ความเป็นห่วงเรื่องสินค้าที่ลอกเลียนแบบกันได้ไม่ยากนัก รวมถึงเรื่องกระแสของผู้บริโภคซึ่งบางคนให้ความเห็นว่าในระยะยาวกระแสที่อุ้มชูบริษัทจะหมดไ

Stocklog 011216 ส่องหุ้น MAJOR อีกครั้ง

นับเป็นเรื่องไม่ธรรมดาเท่าไรที่พ่อผมจะส่งไลน์มาบอกสัญญาณทางเทคนิคของหุ้นที่ผมมองๆอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง MAJOR ผมกับพ่อนับว่าเป็นนักลงทุนที่ใช้กลยุทธ์ต่างกันแบบคนละขั้วเลยทีเดียว พ่อผมเป็นสาย Technical ซื้อขายตามสัญญาณทางเทคนิค ในขณะที่ผมเป็น VI ซื้อตามพื้นฐานบริษัทและถือไปเรื่อยๆจนกว่าพื้นฐานบริษัทจะแย่ลงถาวร MAJOR เป็นหุ้นตัวแรกๆที่ผมได้ลองวิเคราะห์ตอนอายุ 19 (ถ้าผมจำไม่ผิด) ก่อนที่ผมจะอายุถึงเกณฑ์เปิดพอร์ทตัวเองได้ ผมเห็นภาพบริษัทที่กำลังจะก้าวออกไปนอกประเทศ มีฐานลูกค้าแข็งแกร่ง มีแผนขยายธุรกิจที่ดูแล้วเป็นไปได้ สรุปสั้นๆคือแทบทุกอย่างที่ MAJOR เป็นในวันนี้ เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าบริษัทจะทำได้เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว วันนั้นผมแนะนำพ่อผมให้ซื้อ ณ ราคาเวลานั้นประมาณ 19 บาท ซึ่งแน่นอนครับ ตอนนั้นผมพูดให้ใครฟังไม่มีคนเชื่อผม ณ วันที่เขียนบทความนี้ MAJOR ซื้อขายที่ราคาหุ้นละประมาณ 32 บาท มีแผนขยายธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม CLMV ต่อ และมีแผนขยายสาขาในไทย ตามความเห็นผม โรงหนังแทบจะเป็นสิ่งที่โตไปตามการขยายตัวของเมืองและห้างเลยครับ ตราบใดที่ Central ยังมีแผนขยายสาขา ผมก็เชื่อว่าโรงหนังส่ว

จริยธรรม 101 (จากมุมนักลงทุน)

เมื่อเร็วๆนี้หลายท่านคงได้ข่าวการจัดการโบรคเกอร์โดยผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นอัยการและเป็นผู้เสียหายจากการโดนพนักงานโบรกเกอร์ตัดเงินจากบัตรเครดิตเป็นค่าประกันโดยไม่ยินยอม แต่เธอสู้เพื่อให้เป็นกรณีตัวอย่างไม่ให้คนอื่นๆโดนลูกไม้เดียวกันนี้อีก ซึ่งผมถึงกับต้องแชร์ลงเพจเพื่อเป็นกรณีศึกษาเลยทีเดียว เรื่องนี้ได้เน้นย้ำถึงแนวคิดการเลือกหุ้นลงทุนของผมเองข้อนึง นั่นคือ "อย่าลงทุนในบริษัทที่บกพร่องในเรื่องจริยธรรม" ในกรณีของโบรคเกอร์ประกันภัยที่เป็นข่าวนั้น นั่นเป็นเพียงการกระทำที่บกพร่องด้านจรรยาบรรณและจริยธรรมจาก "พนักงาน" ภายในบริษัท ซึ่งก็สร้างความเสียหายลามไปแทบทุกบริษัทในวงการ ลองคิดดูว่าถ้าคนที่บกพร่องด้านจริยธรรมกลับเป็นระดับผู้บริหารซึ่งเป็นผู้กำหนดทิศทางของบริษัท ภาพลักษณ์ของบริษัทจะป่นปี้เป็นตราบาปได้ขนาดไหน หลายๆบริษัทที่มีประวัติต่อเนื่องเรื่องการบกพร่องด้านจริยธรรม ไม่ว่าจะเรื่องการผูกขาด ปั่นหุ้นในตลาด หรือเลวร้ายสุดคือเล่นวิธีการตลาดสกปรกเพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาดแม้กระทั่งการโกหกลูกค้าตัวเอง บริษัทเหล่านี้ไม่ว่าผลประกอบการดียังไง โบรคเกอร์เชียร์ขนาดไหน ผมจะไม่ซื

ความผันผวนของหุ้นกับพฤติกรรมนักลงทุน

Image
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คนไทยทุกคนรับรู้ถึงการสูญเสียครั้งสำคัญของชาติ นั่นคือการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่9 ช่วงเวลาดังกล่าวตลาดหุ้นมีความผันผวนรุนแรงมาก ซึ่งหากใครเปิดตลาดดูคงได้เห็นปรากฎการณ์หุ้นแดงทั้งตลาด ภาพจาก SetSmart อาจเรียกได้ว่าความผันผวนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นบททดสอบนักลงทุนโดยแท้ โดยเฉพาะนักลงทุนสาย VI ที่มีความตั้งใจในการลงทุนระยะยาว โดยส่วนตัวแล้ว ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมงานยุ่งมากจนไม่ได้เปิดตลาดหลายวันติดต่อกัน จากกราฟที่ออกมา ผมเชื่อว่าในตลาดเวลานั้นมีทั้ง "คนกลัว" และ "คนกล้า" โดยคนที่กลัวจนรีบขายหุ้นอาจเสียหายไปมากมาย ในขณะที่คนกล้าซื้ออาจกำไรมหาศาลในช่วงเวลาผันผวนที่ผ่านมา คำถามคือ ความผันผวนที่ผ่านมาส่งผลต่อความสามารถในการประกอบกิจการของบริษัทจดทะเบียนหรือไม่ ผมเชื่อว่ามีผลบ้าง แต่ไม่ใช่ระยะยาว และไม่ใช่ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมแน่ จริงอยู่ที่บางอุตสาหกรรมอย่าง media อาจมีผลกระทบไปบ้างในช่วงสั้นๆนี้ หรืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอาจมีผลบ้างจากบรรยากาศที่เปลี่ยนไปแบบกระทันหัน แต่ผมก็เชื่อว่านี่ไม่ใช่ผลกระ