Posts

Stocklog 281216 ข้อคิดจากการ IPO ของหุ้น AU

หลังจากเกิดปรากฎการณ์บวก 200% จากราคา IPO ใน 2 วันของหุ้น AU หรือ After You ซึ่งแม้หลังจากสองวันแรกราคาจะไหลลงเรื่อยๆก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหุ้นตัวนี้ "กระแสแรง" จริงๆ จากราคา IPO ที่ 4.50 บาท ณ พาร์ 0.10 ต่ำที่สุดเท่าที่ตลาดยอมให้ได้ ราคาพุ่งถึงจุดสูงสุดที่ 15.20 บาท ณ PE สูงกว่า 100 เท่า ซึ่งส่วนตัวผมเองนั้นรู้สึกว่าหุ้นตัวนี้แพงพอสมควรตั้งแต่ราคา IPO ซึ่งตอนนั้น PE ก็ประมาณ 30 เท่าแล้ว การขึ้นมาชน Ceiling ในวันแรกและยังพุ่งต่อในวันที่สอง นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจและบ่งบอกถึงความคาดหวังแรงกล้าต่อบริษัทของนักลงทุน ตั้งแต่ผมเริ่มลงทุนมา ต้องยอมรับเลยว่าหุ้นตัวนี้มีสตอรี่ค่อนข้างมาก รวมถึงกระแสดราม่าในหมู่นักลงทุนซึ่งถกเถียงกันเอาเป็นเอาตายเรื่องอนาคตของกิจการคาเฟ่ขนมหวานของบริษัท ซึ่งช่วงนั้นเด้งกันเต็มฟีดบน Facebook ของผม อ่านไปก็เฮฮาบันเทิงกันไป แม้คนเริ่มประเด็นแทบจะด่ากันเองในบางโพสก็ตาม นักวิเคราะห์และนักลงทุนมักให้ความเป็นห่วงเรื่องสินค้าที่ลอกเลียนแบบกันได้ไม่ยากนัก รวมถึงเรื่องกระแสของผู้บริโภคซึ่งบางคนให้ความเห็นว่าในระยะยาวกระแสที่อุ้มชูบริษัทจะหมดไ

Stocklog 011216 ส่องหุ้น MAJOR อีกครั้ง

นับเป็นเรื่องไม่ธรรมดาเท่าไรที่พ่อผมจะส่งไลน์มาบอกสัญญาณทางเทคนิคของหุ้นที่ผมมองๆอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง MAJOR ผมกับพ่อนับว่าเป็นนักลงทุนที่ใช้กลยุทธ์ต่างกันแบบคนละขั้วเลยทีเดียว พ่อผมเป็นสาย Technical ซื้อขายตามสัญญาณทางเทคนิค ในขณะที่ผมเป็น VI ซื้อตามพื้นฐานบริษัทและถือไปเรื่อยๆจนกว่าพื้นฐานบริษัทจะแย่ลงถาวร MAJOR เป็นหุ้นตัวแรกๆที่ผมได้ลองวิเคราะห์ตอนอายุ 19 (ถ้าผมจำไม่ผิด) ก่อนที่ผมจะอายุถึงเกณฑ์เปิดพอร์ทตัวเองได้ ผมเห็นภาพบริษัทที่กำลังจะก้าวออกไปนอกประเทศ มีฐานลูกค้าแข็งแกร่ง มีแผนขยายธุรกิจที่ดูแล้วเป็นไปได้ สรุปสั้นๆคือแทบทุกอย่างที่ MAJOR เป็นในวันนี้ เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าบริษัทจะทำได้เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว วันนั้นผมแนะนำพ่อผมให้ซื้อ ณ ราคาเวลานั้นประมาณ 19 บาท ซึ่งแน่นอนครับ ตอนนั้นผมพูดให้ใครฟังไม่มีคนเชื่อผม ณ วันที่เขียนบทความนี้ MAJOR ซื้อขายที่ราคาหุ้นละประมาณ 32 บาท มีแผนขยายธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม CLMV ต่อ และมีแผนขยายสาขาในไทย ตามความเห็นผม โรงหนังแทบจะเป็นสิ่งที่โตไปตามการขยายตัวของเมืองและห้างเลยครับ ตราบใดที่ Central ยังมีแผนขยายสาขา ผมก็เชื่อว่าโรงหนังส่ว

จริยธรรม 101 (จากมุมนักลงทุน)

เมื่อเร็วๆนี้หลายท่านคงได้ข่าวการจัดการโบรคเกอร์โดยผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นอัยการและเป็นผู้เสียหายจากการโดนพนักงานโบรกเกอร์ตัดเงินจากบัตรเครดิตเป็นค่าประกันโดยไม่ยินยอม แต่เธอสู้เพื่อให้เป็นกรณีตัวอย่างไม่ให้คนอื่นๆโดนลูกไม้เดียวกันนี้อีก ซึ่งผมถึงกับต้องแชร์ลงเพจเพื่อเป็นกรณีศึกษาเลยทีเดียว เรื่องนี้ได้เน้นย้ำถึงแนวคิดการเลือกหุ้นลงทุนของผมเองข้อนึง นั่นคือ "อย่าลงทุนในบริษัทที่บกพร่องในเรื่องจริยธรรม" ในกรณีของโบรคเกอร์ประกันภัยที่เป็นข่าวนั้น นั่นเป็นเพียงการกระทำที่บกพร่องด้านจรรยาบรรณและจริยธรรมจาก "พนักงาน" ภายในบริษัท ซึ่งก็สร้างความเสียหายลามไปแทบทุกบริษัทในวงการ ลองคิดดูว่าถ้าคนที่บกพร่องด้านจริยธรรมกลับเป็นระดับผู้บริหารซึ่งเป็นผู้กำหนดทิศทางของบริษัท ภาพลักษณ์ของบริษัทจะป่นปี้เป็นตราบาปได้ขนาดไหน หลายๆบริษัทที่มีประวัติต่อเนื่องเรื่องการบกพร่องด้านจริยธรรม ไม่ว่าจะเรื่องการผูกขาด ปั่นหุ้นในตลาด หรือเลวร้ายสุดคือเล่นวิธีการตลาดสกปรกเพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาดแม้กระทั่งการโกหกลูกค้าตัวเอง บริษัทเหล่านี้ไม่ว่าผลประกอบการดียังไง โบรคเกอร์เชียร์ขนาดไหน ผมจะไม่ซื

ความผันผวนของหุ้นกับพฤติกรรมนักลงทุน

Image
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คนไทยทุกคนรับรู้ถึงการสูญเสียครั้งสำคัญของชาติ นั่นคือการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่9 ช่วงเวลาดังกล่าวตลาดหุ้นมีความผันผวนรุนแรงมาก ซึ่งหากใครเปิดตลาดดูคงได้เห็นปรากฎการณ์หุ้นแดงทั้งตลาด ภาพจาก SetSmart อาจเรียกได้ว่าความผันผวนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นบททดสอบนักลงทุนโดยแท้ โดยเฉพาะนักลงทุนสาย VI ที่มีความตั้งใจในการลงทุนระยะยาว โดยส่วนตัวแล้ว ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมงานยุ่งมากจนไม่ได้เปิดตลาดหลายวันติดต่อกัน จากกราฟที่ออกมา ผมเชื่อว่าในตลาดเวลานั้นมีทั้ง "คนกลัว" และ "คนกล้า" โดยคนที่กลัวจนรีบขายหุ้นอาจเสียหายไปมากมาย ในขณะที่คนกล้าซื้ออาจกำไรมหาศาลในช่วงเวลาผันผวนที่ผ่านมา คำถามคือ ความผันผวนที่ผ่านมาส่งผลต่อความสามารถในการประกอบกิจการของบริษัทจดทะเบียนหรือไม่ ผมเชื่อว่ามีผลบ้าง แต่ไม่ใช่ระยะยาว และไม่ใช่ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมแน่ จริงอยู่ที่บางอุตสาหกรรมอย่าง media อาจมีผลกระทบไปบ้างในช่วงสั้นๆนี้ หรืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอาจมีผลบ้างจากบรรยากาศที่เปลี่ยนไปแบบกระทันหัน แต่ผมก็เชื่อว่านี่ไม่ใช่ผลกระ

ยุคสมัยแห่ง Robot

การเกิดของ Startup กลุ่ม FinTech จำนวนมาก กลายเป็นอัตราเร่งในการพัฒนา Artificial Intelligence หรือ AI และเร่งอัตราการผลักดัน Robot จากกลุ่มสถาบันการเงินสู่กลุ่มที่ Mass กว่าอย่างนักลงทุนทั่วไปอย่างเราๆ จากการที่ผมศึกษาในสายเทคโนโลยีสารสนเทศ ผมจึงรู้ทั้งจากเพื่อนและพี่ๆว่าสถาบันการเงินนั้นพัฒนา Robot สำหรับใช้ช่วยเทรดพอร์ทกองทุนมานานหลายปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนช่วง Startup บูมเสียอีก เพียงแต่ระบบในช่วงนั้นมันซับซ้อนวุ่นวายและต้องใช้ทรัพยากรบุคคลจำนวนมากในการคอยดูแลมัน อีกทั้งคนใช้ยังต้องเชี่ยวชาญ จึงเป็นระบบที่ยังไม่เหมาะกับนักลงทุนทั่วไปเท่าไรนัก อย่างไรก็ตาม อัตราการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยนี้เร็วมาก เราเห็น FinTech Startup มากมายนำความรู้ด้าน AI มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ใช้งานได้ง่าย เข้าถึงคนทั่วไปได้ง่ายขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยอัตราการพัฒนาระดับนี้ ผมเชื่อว่า Robot จะเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนแทบทุกแนวแน่นอน แต่เป็นรูปแบบที่ใช้ Robot "ช่วย" การลงทุนไม่ใช่แทนที่การตัดสินใจของนนักลงทุน ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากมานั่งเฝ้าจอเปิดต

ปริญญาโทวันแรก กับคำถามที่ไม่ควรเกิดในเวลานี้

มันคงเป็นเรื่องปกติกับความรู้สึกเกร็งๆเวลาเราเริ่มทำอะไรใหม่ๆ เริ่มเรียนที่ใหม่ ทำงานที่ใหม่ ย้ายบ้านใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการตัดสินใจไปเรียนปริญญาโทหลักสูตรนานาชาติของผม จากสังคมปริญญาตรีที่ตารางเรียนแทบจะเหมือนเพื่อน อยู่กับเพื่อนที่เป็นคนไทย ก้าวไปสู่สังคมที่ครึ่งคลาสเป็นคนจากหลากหลายชาติ แถมตารางเรียนผมซึ่งเป็นนักศึกษาหลักสูตรเรียนควบ 4+1 เพียงคนเดียวในห้อง ดันเรียนไม่เท่าเพื่อนในคลาส เท่านั้นไม่พอ เพื่อนต่างชาติบางคนคุยกันเหมือนจะรู้จักกันมาก่อนเป็นอย่างดีในระดับหนึ่ง ประกอบกับสำเนียงภาษาอังกฤษที่ผมไม่เคยได้ยิน ไม่คุ้นเคย กลายเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงด้านการสื่อสารในวันแรก ทั้งหมดกลายเป็นแรงกดดันมหาศาลที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูก isolated ออกมา ผมไม่ใช่คนที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีนัก แต่ก็ไม่ได้แย่ เท่าที่ใช้มาก็สื่อสารได้รู้เรื่อง และจากการสอบ TOEIC ที่ได้คะแนนมา 855 ในการสอบครั้งแรกที่ไม่ได้เตรียมตัว ก็บ่งบอกว่าด้านอ่านและฟังผมก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่ผมเปิดตัวด้วยการไม่เข้าใจสิ่งที่เพื่อนชาวยูกันดาพูด เข้าใจซึ้งถึงความหมายของคำว่า Shit just got real เลยทีเดียว ผมจำไม่ได้ว่าพูดอะไ

Digital Disruption กับการปรับตัวของธุรกิจ

เมื่อเทคโนโลยีต่างๆพัฒนาอย่างรวดเร็วจนสามารถสร้างผลกระทบใหญ่หลวงต่อรูปแบบการทำธุรกิจ เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ณ โมเมนต์นี้ ธุรกิจทุกระดับจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา การหยุดพัฒนาในยุคนี้มีค่าเท่ากับการเดินถอยหลัง ในอดีตเราอาจเคยได้ยินถึงเรื่องราวการอพยพของชาวจีนที่มาตัวเปล่าแล้วประสบความสำเร็จ (ที่เขาพูดกันว่าเสื่อผืนหมอนใบนั่นแหละ) การทำธุรกิจแบบช้าแต่มั่นคงซึ่งหลายคนในปัจจุบันก็คงฝันหวานถึงการทำธุรกิจแบบนั้นและประสบความสำเร็จ โอกาสของธุรกิจยุคที่แล้วคือการเข้าไม่ถึงข้อมูลของลูกค้า เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองอยากได้นั้นมีผลิตที่ไหน ขายที่ไหน ง่ายที่สุดคือไปหาคนที่เอาของพวกนี้มาขาย เพียงแค่เรารู้ว่ามีอะไรที่ลูกค้าเป้าหมายในพื้นที่นั้นต้องการแต่ไม่มีใครเอามาขาย นั่นก็เป็นโอกาสเราแล้ว ยิ่งสินค้านั้นมีความเฉพาะหรือมี Barrier สูงเท่าไร ลูกค้ายิ่งไม่มีทางเลือกมากนัก เจ้าของธุรกิจแทบจะเรียกได้ว่า อยู่เฉยๆเตรียมของไว้ก็ได้กำไรสบายๆ ทีนี้กลับมาที่โลกยุคปัจจุบัน โลกที่ Internet มีอิทธิพลสูงมากในชีวิตประจำวัน โลกที่การสื่อสารครอบคลุมแทบทั้งโลก รู้ถึงรู้ทันกันหมด ลู